แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 68
1
อาหารบำรุงสมองและแต่ละมื้อส่งผลอย่างไร

“สมอง”เป็นอวัยวะที่สำคัญไม่แพ้ส่วนอื่นในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นส่วนที่คอยควบคุมอวัยวะส่วนอื่นและการกระทำต่างๆในการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์ โดยสมองมีน้ำหนักประมาณ 2% เมื่อเทียบกับน้ำหนักของร่างกายมนุษย์ แต่มีการใช้พลังงานถึง 20% จากการใช้พลังงานทั้งหมดซึ่งเป็นที่มาว่าทำไมสมองถึงเป็นอวัยวะที่สำคัญไม่แพ้ส่วนอื่นๆ สารอาหารพื้นฐานของสมองประกอบไปด้วย ไขมัน (Fats), โปรตีน (Proteins), กรดอะมิโน (Amino Acids), กลูโคส (Glucose) และสารอาหารรองอื่นๆ (Micronutrients) ซึ่งสารอาหารแต่ละอย่างก็ส่งผลต่อสมองในรูปแบบที่แตกต่างกันไป แต่แน่นอนว่าสารอาหารเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่สมองขาดไม่ได้เลย หากอาหารประเภทใดที่มีสารอาหารพื้นฐานที่สมองต้องการแล้วล่ะก็เราสามารถเรียกอาหารประเภทนั้นว่า อาหารบำรุงสมอง หรือ อาหารสมอง ได้ทันที


การเลือกทานอาหารบำรุงสมอง


1. การรับประทานอาหารที่ประกอบไปด้วยไขมัน (FATS)

ไขมันเป็นสารอาหารที่สำคัญที่สุดสำหรับสมองซึ่งช่วยสร้างและบำรุงรักษาเยื่อหุ้มเซลล์ และช่วยป้องกันอาการสมองเสื่อม โดยสามารถหาได้จากอาหารประเภท ถั่ว เมล็ดพืช และปลาที่มีไขมันมาก ซึ่งเราควรรับประทานอาหารประเภทนี้เป็นประจำเนื่องจากเป็นไขมันดีทำให้สามารถเข้ามาแทนที่ไขมันทรานส์ในร่างกาย และควรลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัวเนื่องจากส่งผลเสียต่อสมองในระยะยาว ส่วนความเชื่อที่เกี่ยวกับการลดไขมันนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดเนื่องจากร่างกายยังต้องการไขมัน และโครงสร้างของสมองมีไขมันมากถึง 60% ดั้งนั้นการงดไขมันจะทำให้ไขมันในสมองลดลงไปด้วย


2. การรับประทานอาหารที่ประกอบไปด้วยโปรตีน (Proteins)

โปรตีนช่วยทำหน้าที่เป็นสารสื่อระหว่างเซลล์กับเซลล์และมีส่วนช่วยในการพัฒนาการเติมโตของร่างกาย ความรู้สึกและพฤติกรรม โดยวิธีการเลือกทานอาหารที่มีโปรตีนนั้นควรเลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน ควรรับประทานปลาน้ำลึกสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง โดยไม่ควรทานปลาชนิดเดียวติดต่อกันยาวนานเกินไปควรรับประทานหมุนเวียนสลับกันไปเรื่อย ๆ เช่น ปลาเก๋า ปลาทู ปลากะพง และไม่จำเป็นต้องรับประทานเฉพาะปลาน้ำเค็มเพียงอย่างเดียวแต่เราสามารถรับประทานปลาน้ำจืดควบคู่กันไปด้วย โดยกรรมวิธีที่ใช้ควรเป็นการ นึ่งให้สุก ต้มให้สุก หรือย่าง จะดีกว่าการทอด


3. การรับประทานอาหารที่มีกรดอะมิโน (Amino Acids)

กรดอะมิโนมีสารตั้งต้นของสารสื่อประสาทซึ่งเป็นสารที่นำสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาท และส่งผลต่อ อารมณ์ การนอนหลับ สมาธิ และน้ำหนัก จึงเป็นปกติที่เรารู้สึกเหนื่อยหลังจากทานอาหารที่มีไขมันสูงในปริมาณมาก หรือรู้สึกตื่นตัวหลังจากได้ทานอาหารที่มีโปรตีนสูง โดยกรดอะมิโนเป็นหน่วยเล็ก ๆ ของโปรตีน เมื่อเรารับประทานเข้าไปร่างกายจะย่อยโปรตีนให้เป็นกรดอะมิโนจากนั้นจะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและถูกขับออกทางปัสสาวะเมื่อได้รับกรดอะมิโนมากจนเกินไปโดยอาหารที่ประกอบไปด้วยกรดอะมิโนได้แก่ อาหารทะเล เนื้อสัตว์ ไข่ นมถั่วเหลือง สัตว์ปีก การรับประทานอาหารประเภทนี้ไม่ควรรับประทานเยอะมากจนเกินไปเนื่องจากสมองสามารถดูดซึมกรดอะมิโนได้จำกัดการทานอาหารที่มีกรดอะมิโนในปริมาณที่พอดีจะช่วยให้มีสมดุลย์ในเรื่องของอารมณ์และควรทานช่วงเช้าเพราะเป็นช่วงที่ร่างกายดูดซึมได้ดี


4. การรับประทานอาหารประเภทสารอาหารรอง (Micronutrients)

สารอาหารรองประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ โดยวิตามินมีผลช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคที่เกิดขึ้นกับสมอง แร่ธาตุช่วยให้ร่างกายแข็งแรงลดความเสี่ยงการเกิดโรคกระดูกและสมองโดยสารอาหารรองสามารถหาได้จากผัก ผลไม้ พืชตระกูลถั่ว ผลติภัณฑ์นม รำข้าวกล้อง หรือ อาหารบำรุงสมองทางเลือกที่ถูกผลิตขึ้นจากบริษัทต่าง ๆ ในการรับประทานอาหารที่มีสารอาหารรองนั้นควรรับประทานก่อนอาหารประมาณ 30 นาทีเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมสารอาหารดังกล่าวได้อย่างเต็มที่


5. การรับประทานอาหารประเภทกลูโคส (Glucose)

กลูโคส (Glucose) เป็นอาหารสมองที่ทำให้เราใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก โดยกลูโคสสามารถเกิดจากร่างกายย่อยอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรดเป็นกลูโคสหรือน้ำตาลในเลือดอาหารที่มีค่าไกลซิมิคสูง เช่น ขนมปัง จะปล่อยกลูโคสเข้ากระแสเลือดอย่างรวดเร็วก่อนลดฮวบลง ส่งผลให้สมาธิและอารมณ์ของเราก็ตกลงด้วย ส่วนข้าวโอ๊ด เมล็ดพืช และถั่ว ปล่อยกลูโคสเข้ากระแสเลือดช้ากว่าทำให้ระดับสมาธิของเราเสถียรกว่า ดังนั้นในมื้อเช้าเราควรทานอาหารที่มีการปล่อยกลูโคสเข้ากระแสเลือดช้าเพื่อให้มีสมาธิกับงานได้ตลอดทั้งวันและทานอาหารที่มีการปล่อยกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือดเร็วเมื่อต้องการใช้สมาธิอย่างหนักในเวลาอันสั้น


ผลของอาหารแต่ละมื้อที่เรารับประทานเข้าไป


1. มื้อเช้า

มื้อเช้าเป็นมื้อที่ควรเต็มไปด้วย อาหารสมอง ที่ให้พลังงานสูงแก่ร่างกายเพื่อเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระหว่างวันดังนั้นควรเป็นอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน เพื่อให้สามารถใช้ประสิทธิภาพของสมอง ร่างกายได้อย่างเต็มที่ และลดความหิวระหว่างวันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยให้อารมณ์สมดุลย์ไม่เอียงไปทางใดทางหนึ่งเยอะจนเกินไปด้วย


2. มื้อกลางวัน

มื้อกลางวันเป็นมื้อที่รับประทานเพื่อเสริมให้กับอาหารสมองที่ได้รับจากมื้อเช้าเพื่อนำพลังงานไปใช้ในตอนบ่าย ไม่ควรรับประทานมากเกินจำเป็นเนื่องจากร่างกายได้รับสารอาหารจากมื้อเช้าไปเยอะแล้ว และถ้าหากทานมื้อกลางวันมากจนเกินไปจะทำให้ช่วงบ่ายเกิดอาการเฉื่อย ง่วงนอน เนื่องจากกระเพาะอาหารมีการทำงานหนัก


3. มื้อเย็น

มื้อเย็นเป็นมื้อที่เราควรรับประทานในปริมาณน้อยและมีแคลอรี่น้อยกว่ามื้ออื่นๆ เนื่องจากหลังจากมื้อเย็นเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องซ่อมแซมตัวเองและพักผ่อน หากเราทานอาหารมื้อเย็นมากจนเกินไปจะทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนัก ร่างกายไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ และอาจส่งผลให้รู้สึกง่วงในวันถัดไปได้เนื่องจากร่างกายยังต้องคอยย่อยอาหารที่เรารรับประทานเกินจำเป็นทำให้นอนหลับไม่สนิทในเวลากลางคืน

การรับประทาน อาหารบำรุงสมอง เป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง หากมีความเข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับบริบทชีวิตประจำวันของตนเองแล้วจะทำให้มีความสุขกับการมีสุขภาพที่ดีเพราะเข้าใจวิธีการรับประทานอาหารแต่ละอย่างอีกทั้งยังสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ให้กับตนเองได้ว่าจะเลือกทานอาหารแบบไหนและจะไม่ทานอาหารแบบไหน สุดท้ายแล้วการรับประทานอาหารประเภทเดียวติดต่อกันเป็นเวลานานไม่ได้ส่งผลดีมากกว่าการรับประทานอาหารที่มีความหลากหลาย เพราะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องสารพิษตกค้างและสารอาหารเกินในร่างกาย เพื่อให้สารอาหารในสมองและร่างกายมีความสมดุลลย์เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีความหลากหลายสลับกันไปในแต่ละวัน

2
อาหารแก้เมา ที่สายดื่ม ไม่ควรพลาด !

อาการเมาค้าง เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยจากการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป   อาจทำให้รู้สึกไม่สบาย ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย และขาดน้ำ

การทานอาหาร   ดื่มน้ำ   และพักผ่อน   อย่างเพียงพอ   สามารถช่วยบรรเทาอาการเมาค้างได้


อาหารที่ควรทาน

ข้าวต้ม: ข้าวต้มเป็นอาหารย่อยง่าย ช่วยชดเชยน้ำที่สูญเสียไป และช่วยให้รู้สึกอิ่มท้อง

โจ๊ก: โจ๊กเป็นอาหารย่อยง่าย เช่นเดียวกับข้าวต้ม และยังมีโปรตีนจากไข่ ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟู

ไข่ต้ม: ไข่ต้มมีโปรตีนและวิตามิน ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟู และยังช่วยลดอาการคลื่นไส้

กล้วย: กล้วยมีโพแทสเซียม ช่วยชดเชยแร่ธาตุที่สูญเสียไป และยังช่วยลดอาการคลื่นไส้

น้ำมะเขือเทศ: น้ำมะเขือเทศมีไลโคปีน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยลดอาการปวดหัว

น้ำมะพร้าว: น้ำมะพร้าวมีเกลือแร่และน้ำ ช่วยชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป และยังช่วยลดอาการอ่อนเพลีย

ซุปไก่: ซุปไก่มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟู และยังช่วยลดอาการเจ็บคอ

ผักใบเขียว: ผักใบเขียวมีวิตามินและแร่ธาตุ ช่วยชดเชยวิตามินและแร่ธาตุที่สูญเสียไป และยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ


อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

อาหารที่มีไขมันสูง: อาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารทอด อาหารฟาสต์ฟู้ด อาจทำให้รู้สึกคลื่นไส้อาเจียนมากขึ้น
อาหารรสจัด: อาหารรสจัด เช่น อาหารเผ็ด อาหารเค็ม อาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร
คาเฟอีน: คาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม อาจทำให้ปวดหัว และ ขาดน้ำ
แอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์เพิ่ม จะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ และ เกลือแร่ มากขึ้น


การดื่มน้ำ

ควรดื่มน้ำเปล่ามากๆ เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไป
ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

การพักผ่อน

ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ควรนอนหลับในห้องที่มืด เงียบ และ เย็นสบาย
ควรหลีกเลี่ยงการนอนหลับกลางวันนานๆ
การทานอาหาร   ดื่มน้ำ   และ   พักผ่อน   อย่างเพียงพอ   เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้แฮงค์

อย่างไรก็ตาม   หากมีอาการเมาค้างรุนแรง   หรือ   มีอาการอื่นๆ   เช่น   ไข้สูง   หายใจลำบาก   ควรไปพบแพทย์ทันที

3
วิตามินบำรุงสมอง อาหารสมอง ต้องลองทาน

เมื่อคุณ:

    ตื่นเช้ามารู้สึกเหมือนนอนไม่พอ
    พอตกบ่ายก็คิดอะไรไม่ค่อยออก
    ไม่สบายบ่อย อากาศเปลี่ยนนิดหน่อยหวัด หรือไข้ก็ถามหา
    ขี้ลืม ลืมนัด หรือลืมของอยู่บ่อยๆ
 

หากคุณมีอาการเหล่านี้สักข้อ หรือสองข้อ แสดงว่าสมองกำลังส่งสัญญาณว่าขอตัวช่วยเข้าให้แล้ว เเค่ลองเลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์กับสมอง ก็ช่วยสร้างพลังความฟิตให้กลับมาทำงานได้แล้ว

1.    เม็ดบัว เห็นจิ๋วๆ อย่างนี้ประโยชน์เพียบ อุดมไปด้วยวิตามิน A C และ E โปรตีน เกลือแร่ สังกะสี และเหล็กที่ช่วยบำรุงสมองได้

2.    อัลมอนด์ อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ช่วยในเรื่องของระบบประสาท เสริมสร้างความจำให้ดีขึ้นได้เท่าตัว

3.    ปลานิล ปลาน้ำจืดที่มีโอเมก้า 3 ไม่แพ้ปลาทะเลน้ำลึก ช่วยเพิ่มการทำงานของระบบประสาท และสมอง ช่วยป้องกันอาการอัลไซเมอร์ได้ด้วย

4.    ข้าวกล้อง มีวิตามินมากมายตั้งแต่บี 1- 12 ช่วยให้ร่างกายให้สดชื่นขึ้น ลดอาการอ่อนล้า และอ่อนเพลียได้

5.    ลูกเดือย ลูกเล็กๆ เคี้ยวหนึบๆ นี่แหละดีต่อสมองมาก มีทั้งเส้นใยและคุณค่าทางอาหารสูง เช่น วิตามิน แคลเซียม ฟอสฟอรัล และแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงสมองได้เน้นๆ แถมยังช่วยให้นอนหลับได้สนิทขึ้นด้วย

6.    กล้วย อุดมไปด้วยวิตามิน และโพแทสเซียม (Potassium) ที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ง่าย ให้พลังงานให้กับร่างกาย

7.    ข้าวโพด ควรแทะเม็ดข้าวโพดจากฝักจะได้ประโยชน์แบบจัดเต็มกว่า เพราะวิตามินบี 1 และโคลีนจะอยู่ตรงบริเวณจมูกข้าวโพด ช่วยบำรุงสมองให้สมองแข็งแรง

8.    บร็อคโคลี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยป้องกันสมองเสื่อม และอัลไซเมอร์ได้

9.    สตรอเบอร์รี่ ผลไม้โปรดของใครหลายคน มีสารแอนโทไซอะนินที่จัดว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยดูแลเซลล์สมองไม่ให้ถูกทำลาย

10.    ไข่ต้ม มีวิตามินบี 5 และโคลีน และไข่ขาวยังมีโปรตีนสูง ช่วยพัฒนาการทำงานของสมอง และความจำ


4
วิธีแก้แฮงค์ อาการเมาค้าง 

อาการเมาค้าง หรือ Alcohol Hangover คือ อาการที่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับแอลกอฮอล์จากการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป โดยจะทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะหรือเหงื่อออก อาการเหล่านี้มักจะเกิดหลังจากที่เราได้รับแอลกอฮอล์มาแล้ว 24 ชั่วโมง โดยอาการที่เกิดขึ้นจะเกิดแล้วแต่เฉพาะบุคคลแตกต่างกันออกไปเนื่องจากร่างกายของแต่ละคนระบบการเผาผลาญไม่เหมือนกันนั่นเอง

 
แอลกอฮอล์ คืออะไร

แอลกอฮอล์มีชื่อทางเคมีว่า  Ethanol หรือ Ethyl Alcohol จัดเป็นสารกดประสาทชนิดหนึ่ง เมื่อดื่มไปแล้ว ร่างกายเราจะทำทุกวิถีทางที่จะกำจัดออกไป แต่ผลกระทบอาจจะไม่ใช่แค่รอตับกำจัดแค่นั้น แต่ระหว่างที่รอ แอลกอฮอล์ขับออกจะส่งผลมากมายต่อร่างกาย โดยเมื่อแอลกอฮอล์เดินทางไปยังกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก เพื่อดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือด ตับอ่อนจะหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมา หากดื่มตอนท้องว่างที่ร่างกายเรามีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำอยู่แล้วก็จะยิ่งส่งผลต่อทำให้น้ำตาลในเลือดเรายิ่งต่ำลงไปอีก จึงเกิดอาการคล้ายน้ำตาลตก และจะเริ่มมีอาการมึนๆ งงๆ ตามมา และมึนเมาได้ไวกว่าคนที่รองท้องมาด้วยอาหาร หรือทานของแกล้มไปด้วย

 
อาการเมาค้างคืออะไร

การเกิดอาการเมาค้าง หรือที่เรียกว่า “อาการแฮงค์” (Hangover) มักเกิดกับคนที่ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หลังจากนั้นร่างกายก็จะแสดงปฏิกิริยาต่อต้านแอลกอฮอล์ขึ้นมา ทำให้มีอาการเวียนศีรษะ อาเจียน คลื่นไส้ รู้สึกมวนท้อง เหงื่อออกมาก อ่อนเพลีย เป็นต้น โดยอาการที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่บุคคล โดยในปัจจุบันยังไม่มีอาหารเสริม วิตามิน หรือสมุนไพรชนิดใดที่ช่วยแก้อาการเมาค้างได้หายสนิทได้ เพียงแต่เป็นการช่วยบรรเทาและฟื้นฟูอาการเมาค้างให้หายได้เร็วขึ้นเท่านั้น โดยร่างกายจะฟื้นฟูได้เร็วและขับแอลกอฮอล์ที่ถือเป็นสารพิษในร่างกายให้ออกจากร่างกายเร็วขึ้น และหากเราไปดื่มแอลกอฮอล์ตอนที่เราท้องว่างอยู่ก็จะยิ่งส่งผลให้ร่างกายเพิ่มความเสี่ยงเมาค้างมากขึ้น แต่ถ้าหากเรารับประทานอาหารก่อนดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยชะลอการดูดซึมแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายได้ และส่วนหนึ่งมาจากการที่ตับทำงานได้ไม่ค่อยได้ดี โดยคนที่มีตับสุขภาพดีก็จะลดอาการเมาค้างดีกว่าคนที่ตับสุขภาพไม่ดี เนื่องจากตับมีหน้าที่ในการขับสารพิษออกจากร่างกาย เมื่อมาเจอกับแอลกอฮอล์ที่เราดื่มเข้าไปก็จะตรวจจับว่าเป็นสารพิษและรีบนำออกไป โดยขับออกในรูปของเหงื่อหรือปัสสาวะนั่นเอง

 
ผลเสียต่อร่างกายจากการดื่มแอลกอฮอล์

การดื่มแอลกอฮอล์มีผลต่ออวัยวะหลายส่วนภายในของร่างกาย และส่งผลเสียทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยผลกระทบต่อร่างกายมีหลายส่วนดังนี้

1.  ส่งผลเสียต่อระบบระบบประสาทและสมอง : การดื่มแอลกอฮอล์จะส่งผลเสียต่อสมองโดยทำให้เกิดอาการมึนเมา วิงเวียนศีรษะ ทำให้มีอาการชาตามปลายมือและปลายเท้า นอกจากนี้การดื่มแอลกอฮอล์มากๆอาจจะทำให้เกิดอาการความจำเสื่อม ทำให้สมองเสื่อมได้

2.   ส่งผลเสียต่อตับและตับอ่อน : ทำให้ตับอ่อนอักเสบ มีอาการปวดท้องรุนแรง และการดื่มแอลกอฮอล์เป็นระยะเวลานานและบ่อยครั้งจะส่งผลเสียทำให้เกิดความเสี่ยงโรคตับแข็ง ซึ่งจะมีอาการอ้วกเป็นเลือด เสี่ยงให้อาจเป็นมะเร็งตับได้

3.  ส่งผลเสียต่อระบบทางเดินอาหาร :  ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบ เป็นแผลในกระเพาะ เลือดออกในกระเพาะอาหารได้

4.  ส่งผลเสียต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด : การดื่มแอลกอฮอล์มากๆ จะส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจและการบีบตัวของหัวใจไม่ปกติ หัวใจเต้นเร็วได้ นอกจากนี้แอลกอฮอล์จะทำให้เส้นเลือดขยายตัวและทำให้ไขมันในเลือดสูงทำให้เส้นเลือดแข็งตัวง่าย ซึ่งจะทำให้เส้นเลือดในสมองแตกได้ง่าย

5.   ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ : หากดื่มแอลกอฮอล์จนเรื้อรังจะทำให้ความต้องการทางเพศจะลดลง และส่งผลทำให้ลูกอัณฑะมีขนาดเล็กลงได้

 
วิธีการบรรเทาอาการเมาค้าง

1.  ควรดื่มแอลกอฮอล์แต่พอดี ไม่ดื่มมากเกินไป

2.   ดื่มน้ำก่อนเข้านอน 1-2 แก้ว เนื่องจากการดื่มแอลกอฮอล์จะส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำและสูญเสียเกลือแร่ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปากแห้ง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เป็นต้น โดยการดื่มน้ำจะช่วยทดแทนน้ำและแร่ธาตุที่ร่างกายสูญเสียไป เพื่อให้ร่างกายปวดปัสสาวะและน้ำจะพาสารตกค้างจากแอลกอฮอล์ออกมากับปัสสาวะ หากดื่มก่อนเข้านอนก็จะช่วยลดอาการเมาค้างได้

3.  รับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก หรือดื่มน้ำอุ่นๆ เช่น น้ำขิง ชามิ้นต์

4.  กินผลไม้รสเปรี้ยวเพื่อช่วยให้ร่างกายเฟรช ตื่นตัว

5.  หากมีอาการปวดหัว ตัวร้อน ร่วมด้วย สามารถทานยาแก้ปวดกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ได้ เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟ่น หรือยาตัวอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน ทั้งนี้ควรปรึกษาเภสัชกร หรือแพทย์ก่อนซื้อยา เพื่อซักถามประวัติการแพ้ยาอย่างละเอียดก่อนที่จะทาน

6.   ดื่มกาแฟ แต่การดื่มกาแฟไม่ได้ช่วยให้อาการเมาค้างดีขึ้น เพียงแต่ทำให้ร่างกายตื่นตัว เพิ่มพลังงานให้สมอง

7.   รับประทานวิตามินอาหารเสริม หรืออาหารเสริมที่ส่วนผสมของสารสกัดจากสมุนไพรที่ช่วยแก้แฮงค์ได้

 

วิตามินและสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาอาการเมาค้างได้

1.  Green tea หรือ ชาเขียว จะมีสาร Catechin แล้วยังมีวิตามินซี และคาเฟอีนเป็นองค์ประกอบ ซึ่งส่วนประกอบพวกนี้มีส่วนช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูให้ทำงานได้อย่างเต็มที่และแก้เมาค้างเวียนหัวได้ ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ เหมาะสำหรับคนที่ดื่มหนักและมีอาการแฮงค์จากแอลกอฮอล์

2.  Ginkgo leaf หรือ ใบแปะก๊วย มีส่วนช่วยบำรุงสมอง ป้องกันการอุดตันของเส้นเลือดในสมอง ช่วยคลายความเครียด คลายกังวล ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ลดอาการเวียนหัวได้

3.  Ginger หรือ ขิง จะมีสารสำคัญอย่างสารจินเจอรอล (Gingerol) หรือโชกาออล (Shogaol) ที่มีส่วนช่วยป้องกันการคลื่นไส้จากอาการวิงเวียนศีรษะ ช่วยลดอาการการเกิดกรดไหลย้อน และช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยขับแอลกอฮอล์ออกมาทางระบบขับถ่ายได้

4.  Fenugreek หรือ ลูกซัด มีส่วนช่วยเสริมการจับสารพิษและขับสารพิษออกมาจากร่างกายได้ และช่วยลดอาการจุกเสียด กรดไหลย้อน หรือการระคายเคืองในช่องท้องได้

5.   Taurine หรือ ทอรีน เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง มีส่วนช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและมีพลังในระหว่างวัน อีกทั้งยังช่วยในการทำงานของตับและตับอ่อน

6.   L-Arginine หรือ แอล-อาร์จีนีน เป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตสารไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น ช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและลดอารมณ์ฉุนเฉียว

7.   L-Carnitine หรือ แอล-คาร์นีทีน ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นพลังงานให้ร่างกาย ช่วยให้ร่างกายสดชื่น ลดความเหนื่อยล้าจากอาการแฮงค์ได้

8.   Vitamin C หรือ วิตามินซี เป็นวิตามินที่มีความสามารถในการช่วยเร่งการกำจัดแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายได้ ทำให้ลดระยะเวลาอาการเมาค้างได้ อีกทั้งยังช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นด้วย

9.   Magnesium หรือ แมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เนื่องจากการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้เกิดการสูญเสียแร่ธาตุชนิดในร่างกายออกไปจำนวนมาก ทำให้ร่างกายขาดสมดุล จึงควรต้องรับประทานแร่ธาตุนี้เข้าไปเพื่อเสริมปริมาณของแม็กนีเซียมให้เพียงพอ

5
รถยนต์ใหม่ 2024: เมอร์เซเดส-เบนซ์ Mercedes-benz E-Class E 350 e AMG Dynamic ปี 2024
4,250,000 บาท 


เมอร์เซเดส-เบนซ์ Mercedes-benz E-Class E 350 e AMG Dynamic ปี 2024
Mercedes-Benz E 350 e AMG Dynamic ผสานขุมพลังการขับเคลื่อนในรูปแบบรถปลั๊กอินไฮบริดผ่านเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ แบบ 4 สูบแถวเรียง เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งระบบ มอบกำลังแรงม้ารวมสูงสุด 313 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 550 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 6.5 วินาที ในด้านของแหล่งพลังงาน ติดตั้งแบตเตอรี่แรงดันสูงที่มีความจุ 25.4 kWh ช่วยให้สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลมากกว่า 100  กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 55 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% เพียง 30 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% ในระยะเวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์           Mercedes-benz
   รุ่น                เมอร์เซเดส-เบนซ์ Mercedes-benz E-Class E 350 e AMG Dynamic ปี 2024
   ประเภทรถ       รถเก๋ง 4 ประตู, รถไฮบริด
   ปีที่เปิดตัว       2024
   ราคา             4,250,000 บาท


ดีไซน์
   ภายนอก
ไฟหน้า (DIGITAL LIGHT,ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติแบบ Adaptive Highbeam Assist Plus)
ระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ต (AGILITY CONTROL)
อุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ (ระบบปิดประตูแบบ Power closing, ยางรถยนต์พร้อมโฟมช่วยลดเสียงรบกวน, แผ่นรองกันกระแทกใต้ห้องเครื่อง)
อุปกรณ์ชุดแต่ง (กระจังหน้าแบบ Mercedes–Benz pattern แบบเรองแสง, ตกแต่งรอบคันแบบ AMG Line)
ขนาดยางหน้า-หลัง (หน้า 245/40 R20, หลัง 275/35 R20)
ล้ออัลลอย (ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ multi–spoke ขนาด 20 นิ้ว)
หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ (เลือนเปิด–ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า)
ยางอะไหล่สำรอง (จะได้ชุดอุปกรณ์ปะยางฉุกเฉินแบบ TIREFIT)

   ภายใน
ตกแต่งภายใน (ด้านบนของคอนโซลหน้า และด้านบนของแผงประตู หุ้มด้วยหนัง ARTICO ตกแต่งลายแบบ Nappa, ตกแต่งห้องโดยสารแบบ Open–pore black ash wood, กาบบันไดเรืองแสงพร้อมสัญลักษณ์ Mercedes–Benz,ตกแต่งห้องโดยสารแบบ AMG Line)
กระจกมองหลังตัดแสง (อัตโนมัติ)
ม่านบังแดด (ประตูหลังซ้าย–ขวา, ด้านหลังเลื่อนขึ้น-ลง ด้วยระบบไฟฟ้า)
พวงมาลัยหุ้มหนัง (Nappa แบบสปอร์ต)
พรมปูพื้น (พร้อมสัญลักษณ์ AMG)
อุปกรณ์วัดความเร็วสะท้อนกระจก Head Up Display

สเปค
   เครื่องยนต์                         เบนซิน แถวเรียง 4 สูบ เทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ / มอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลัง 95 แรงม้า รวมให้กำลัง 313 แรงม้า แรงบิด 550 นิวตันเมตร
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)          1,999 CC
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)       204 แรงม้า
   ระบบเกียร์                        เกียร์อัตโนมัติแบบ 9AT
   รูปแบบเกียร์                      9G–TRONIC
   ระบบเบรค ABS                  มี
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง         เบนซิน 95, เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), แก๊สโซฮอล์ 91, เบนซิน E20
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)         50 ลิตร
   ระบบจ่ายน้ำมัน                  หัวฉีดอีเล็กทรอนิกส์
   น้ำหนักตัวรถ                     -
   ประเภทยางรถยนต์              -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)                  ล้ออัลลอย (ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ multi–spoke ขนาด 20 นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน                  ขับเคลื่อนล้อหลัง

ระบบความปลอดภัยระบบความปลอดภัย
อุปกรณ์ความปลอดภัย  อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ESP)
ดิสก์เบรก 4 ล้อ ((จานเบรกคู่หน้าขนาดใหญ่พร้อมรูระบายความร้อน))
กุญแจรีโมท (KEYLESS–GO)
ระบบเตือนเพื่อนำรถเข้าศูนย์
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบแสดงสถานะลมยางพร้อมระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง, ระบบรักษารถให้อยู่ในช่องจราจร,ระบบสร้างเสียงจําลอง สําหรับเตือนผู้ใช้ถนน, ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ,ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัย)
เข็มขัดนิรภัย (แบบ 3 จุด 5 ที่นั่ง)
ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน
ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (และระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD และ Hill–Start Assist)
ระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ (PRE-SAFE system)
ระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ
กล้อง (แสดงภาพรอบทิศทาง)
ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST)
เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning - BSW)
เสียงเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย (สําหรับผู้โดยสารด้านหลัง)

6
townhome พฤกษาวิลล์ พหลโยธิน - คลองหลวง 2 (Pruksa Ville Phaholyothin - Klongluang 2)

พฤกษาวิลล์ พหลโยธิน-คลองหลวง 2 โครงการบ้านทาวน์โฮมจาก พฤกษา เรียลเอสเตท ทาวน์โฮม 2 ชั้นและ โฮมออฟฟิศ 3 ชั้น กับคอนเซปต์ "EXPLORE YOUR SPACE" พื้นที่ของคนช่างคิด รูปแบบห้องที่คุณเลือกและออกแบบได้ และ "EXPAND YOUR LIFESTYLE" ประสบการณ์ใหม่ของการ ใช้พื้นที่ส่วนกลางพิเศษ พร้อมให้คุณได้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกได้อย่างเต็มที่ ทำเลที่ตั้งใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง และสถานที่สำคัญต่างๆ เดินทางสะดวกทุกการเชื่อมต่อ

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ               พฤกษาวิลล์ พหลโยธิน - คลองหลวง 2 (Pruksa Ville Phaholyothin - Klongluang 2)
 เจ้าของโครงการ         พฤกษา เรียลเอสเตท
 แบรนด์ย่อย               พฤกษาวิลล์
 ราคา                      เริ่มต้น 1.69 ลบ. (ณ. วันที่ 24 เม.ย. 67)

 ประเภทบ้าน              ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome), โฮมออฟฟิศ
 ลักษณะทำเล             บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ             30 ไร่ 1 งาน 46 ตร.ว.
 จำนวนบ้าน                372 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
  เนื้อที่บ้าน                ตั้งแต่ 16.5 ถึง 18.1 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย               ตั้งแต่ 103 ถึง 116 ตร.ม.
 จำนวนชั้น                 โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 หน้ากว้าง                 โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน           ตั้งแต่ 2 ถึง 4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ           ตั้งแแต่ 1 ถึง 2 คัน
 สาธารณูปโภค             สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, อื่นๆ (ห้องโยคะ, JACUZZI, WORKING SHARING, LIBRARY LOUNGE, Golf putter), สนามเด็กเล่น

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน               ปทุมธานี, คลองหลวง, ธัญบุรี, ลำลูกกา
 ที่ตั้ง               ตำบล คลองสอง อำเภอคลองหลวง ปทุมธานี 12120

 ขนส่งสาธารณะ               ใกล้ถนนสายหลัก (ถนนคลองหลวง, ถนนพหลโยธิน, ถนนรังสิต-นครนายก, ถนนคลอง 2)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ศูนย์การค้า
Future Park รังสิต
ตลาดไท
ตลาดไอยรา


สถานศึกษา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โรงเรียนสารสาสน์วิเทศคลองหลวง
โรงเรียนสวนกุหลาบ
โรงเรียนนานาชาติสยาม
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
มหาวิทยาลัยรังสิต


สถานพยาบาล
โรงพยาบาลบางปะกอก รังสิต
โรงพยาบาลเปาโล
โรงพยาบาลธรรมศาสตร์


สถานที่สำคัญอื่นๆ
นิคมนวนคร
นิคมบางปะอิน
นิคมโรจนะ
นิคมไฮเทค วังน้อย

 ปีที่สร้างเสร็จ
โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

7
จัดฟันเด็ก เพื่อฟันแท้ในอนาคต
 

สุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ถือว่ามีความสำคัญมากพ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ หลายคนคิดว่าฟันน้ำนมของลูกน้อย ไม่มีความสำคัญเพราะคิดว่าฟันน้ำนม เมื่อหลุดออกไปก็จะมีฟันแท้ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งความคิดนี้ถือว่าผิดเพราะว่าฟันน้ำนมของเด็กมีความสำคัญไม่แพ้ฟันแท้ เพราะฟันน้ำนมมีผลต่อการขึ้นของฟันแท้โดยตรง หากว่าฟันน้ำนมหลุดก่อนวัยอันควร ก็อาจจะทำให้การขึ้นของฟันแท้ผิดปกติได้หรือบางครั้งฟันแท้อาจจะขึ้นไม่ครบ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฟันห่างหรือฟันล้มได้ ดังนั้น ไม่ว่าเด็กจะอยู่ในช่วงของฟันน้ำนมหรือฟันแท้ ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน สิ่งที่สำคัญก็คือควรที่จะดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันให้ดีเพื่อป้องกันการเกิดฟันผุหรือโรคเหงือกที่อาจจะตามมาได้ในอนาคต


ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะเอาใจใส่ในเรื่องของฟันของเด็ก หมั่นสังเกตอาการหรือพฤติกรรมที่ส่งผลทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพฟัน ควรที่จะปลูกฝังและสร้างทัศนคติที่ดีในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันให้เด็ก ได้เข้าใจว่าสุขภาพฟันนั้นมีความสำคัญในระยะยาวเพราะฟันจะอยู่กับเราตลอดชีวิต เราจึงต้องดูแลรักษาความสะอาดให้ดีอยู่เสมอ ควรสอนให้เด็กรู้จักวิธีการแปรงฟันที่ถูกต้อง เพื่อที่จะได้มีฟันที่สวยงามและไม่มีปัญหาฟัน แต่ถ้าหากว่าเด็กมีปัญหาในเรื่องของฟัน ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นของฟันแท้ที่ผิดปกติหรือมีฟันน้ำนมที่หลุดก่อนวัยอันควร พ่อแม่ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันเพื่อเข้ารับการจัดฟันในเด็กเพื่อแก้ไขปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ


สำหรับการจัดฟันในเด็ก จะสามารถช่วยให้เด็กมีฟันที่สวยงามด้วยการจัดฟันในเด็ก ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปี สำหรับเด็กที่อยู่ในช่วง 4-7 ปี ควรเข้ารับการจัดฟันในเด็ก โดยวิธีการใช้เครื่องมือ EF LINE ซึ่งเป็นเครื่องมือการจัดฟันที่ใช้นวัตกรรมช่วยทำให้ปรับโครงสร้างของใบหน้า แก้ไขความผิดปกติของกล้ามเนื้อใบหน้า รวมไปถึงปรับตำแหน่งลิ้น ซึ่งจะช่วยทำให้เด็กมีโครงสร้างของใบหน้าที่ถูกต้องสมบูรณ์และยังช่วยในเรื่องของปัญหาการสบฟันของเด็ก เพราะในช่วงอายุ 4-7 ปีนั้น กระดูกขากรรไกรยังอยู่ในช่วงของการเจริญเติบโตจึงเหมาะที่จะเข้ารับการจัดฟันในเด็กด้วยเครื่องมือ EF LINE และสำหรับเด็กที่อายุ 10 – 15 ปีก็สามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กโดยการใช้เครื่องมือการจัดฟันแบบติดแน่น เพราะเด็กในวัยนี้จะสามารถให้ความร่วมมือในการรักษา กลับทันตแพทย์ได้ดีกว่าเด็กอายุ 4-7 ปี เพราะเด็กในวัยนี้จะรู้จักวิธีการแปรงฟันที่ถูกต้องการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันได้ดีกว่า ดังนั้น การจัดฟันในเด็กจึงจะสามารถช่วยให้เด็กมีฟันแท้ที่สวยงามในอนาคตได้


ซึ่งทางคลินิกของเรามีบริการทันตกรรมทางด้านการจัดฟันในเด็ก จึงสามารถให้คำแนะนำตั้งแต่วิธีการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กไปจนถึงการปฎิบัติตัวระหว่างเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่สังเกตอาการของเด็กแล้วรู้สึกถึงปัญหาและความผิดปกติของสุขภาพฟันของลูกน้อย ก็ควรพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์เพื่อปรึกษาก่อนการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีมีฟันสวยงาม มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย ทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามไปด้วย


ทั้งนี้ หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเราเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็กและสามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับวิธีการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันที่ถูกต้อง พร้อมทั้ง ยังช่วยแนะนำให้พ่อแม่ผู้ปกครองพูดสร้างความเข้าใจให้กับเด็กว่าสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างไร เพื่อให้เด็กได้ตระหนักถึงปัญหาของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้ป้องกันไม่ให้เกิดฟันผุหรือโรคเกี่ยวกับช่องปากในอนาคต เพราะเราเห็นความสำคัญของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กและอยากให้เด็กๆทุกคน มีสุขภาพฟันที่แข็งแรง สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

8
การตรวจฟันเด็กเล็กก่อนเข้ารับการจัดฟัน

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกน้อย ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะที่เอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ สุขภาพฟันถือว่าเป็นสุขอนามัยเบื้องต้น ที่เด็กจะต้องรักษาความสะอาดให้ดี เพราะถ้าหากเกิดฟันผุแล้ว คงไม่ดีต่อตัวเด็กแน่ๆ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาเด็กไปพบทันตแพทย์ ก่อนที่ฟันน้ำนมจะขึ้นครบทั้งยี่สิบซี่ หรือเด็กมีอายุระหว่าง 2-3 ขวบ เมื่อไปพบทันตแพทย์ครั้งแรกนั้น ทันตแพทย์จะพุดคุยกับเด็กก่อน เพื่อสร้างความสนิทสนม สร้างทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน


จากนั้นก็จะแนะนำเครื่องมือในการทำฟันต่างๆให้กับเด็ก เพื่อให้เด็กเกิดความคุ้นเคยและไม่กลัว จากนั้นจึงจะตรวจฟันเด็ก และให้คำแนะนำกับผู้ปกครองเกี่ยวกับวิธีรักษาความสะอาดฟันของเด็ก ตลอดจนอาหารที่ควรรับประทานและการใช้ฟลูออไรด์ ควรพาไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง นี่ถือว่าเป็นการเข้ารับการตรวจฟันทันตแพทย์ในเบื้องต้น เพื่อที่ทันตแพทย์จะได้แนะนำแนวทางในการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันให้เด็ก เพื่อสร้างความเข้าใจให้เด็กได้รับรู้ถึงความสำคัญของสุขภาพฟัน แต่สำหรับเด็กที่มีปัญหาในเรื่องของฟันนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แต่หลายคนอจจะกังวลและไม่ทราบว่า จะต้องพูดให้เด็กทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาจึงอาจจะรู้สึกหนักใจ วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องของการพาบุตรหลานเข้ารับการตรวจฟันก่อนเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่ให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เป็นแนวทางในการเตรียมตัวและปฏิบัติตัวก่อนพาบุตรหลานขรับการจัดฟันในเด็กกับทันตแพทย์จัดฟัน
 

ก่อนที่เราจะมาพูดถึงเรื่องของการพาบุตรหลานเข้ารับการตรวจฟันก่อนเข้ารับการจัดฟัน ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องฟันน้ำนมของเด็กก่อน เพราะเนื่องจากพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนยังคิดว่า ฟันน้ำนมของเด็กนั้นไม่สำคัญ คิดว่าถ้าถอนทิ้งก็คงไม่เป็นไร เพราะเดี๋ยวก็มีฟันแท้ขึ้นมาแทน ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะฟันน้ำนมมีบทบาทสำคัญมาก ต่อลักษณะการขึ้นของฟันแท้โดยตรงและถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะถาฟันน้ำนมของเด็กหลุดก่อนวัยอันควร ก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดภาวะฟันแท้หายได้เลย ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายและส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพฟันด้วย ดังนั้น เด็กในวัยประถมที่ยังมีฟันน้ำนมก็สามารถจัดฟันได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่น หลายปัญหาอาจสามารถหลีกเลี่ยง หรือลดความรุนแรงได้ หากได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ


สำหรับ การตรวจฟันในเด็กก่อนที่จะเข้ารับการจัดฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองคงจะต้องสร้างทัศนคติที่ดี พูดให้เด็กเข้าใจถึงผลลัพธ์ของการมีสุขภาพฟันที่ดี เพื่อลดความกังวลในเด็กเมื่อต้องเข้าพทันตแพทย์ การพาเด็กไปพบทันตแพทย์มีส่วนช่วยป้องกันฟันผุให้เด็กได้ โดยที่เด็กจะได้ประโยชน์จากการตรวจสภาพช่องปาก และจะทำให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมต่อการดูแลฟันเด็กในแต่ละคน ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะได้เรียนรู้ หรือฝึกการแปรงฟันให้เด็กได้ และยังมีส่วนช่วยให้เด็กเกิดความคุ้นเคยกับทันตแพทย์และให้ความร่วมมือที่ดีต่อการรักษาฟันต่อไป เมื่อถึงเวลาที่เข้ารับการจัดฟัน เด็กจะได้มีความคุ้นชินและลดคาวมกังวลลงได้นั่นเอง


สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถพาเด็กเข้ามาตรวจกับทันตแพทย์ของทางคลินิกได้เลย เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ พร้อมที่จะคอยให้คำปรึกษาในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาด พร้อมกับช่วยสร้างทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพฟันให้เด็กได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของสุขอนามัยในช่องปาก เพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะเราอยากให้เด็กๆทุกคนมีรรอยิ้มที่สดใส มีพัฒนาการที่ดี สสามารถใช้ชีวิตประจำวัน ทำกิจกรรมในแต่ละวันได้อย่างเต็มที่และมีความสุข

9
เด็กที่มีช่องฟันห่าง สามารถแก้ไขด้วยการจัดฟันเด็ก ?


สุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก เป็นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องคอยดูแลเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพราะเด็กในวัยที่ยังมีฟันน้ำนมอยู่นั้น พ่อแม่จะต้องระวังในเรื่องของของการเกิดฟันผุของลูก เพราะเด็กในวัยที่ยังมีฟันน้ำนม ไใควรที่จะมองข้าม เพราะถ้าหากเกิดฟันผุและสูญเสียฟันก่อนเวลาอันควรอาจจะทำให้เด็กมีปัญหาในเรื่องสุขภาพฟันในอนาคตได้  ดังนั้นการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก จึงมีความสำคัญมากเพราะสุขภาพฟันในวัยเด็กนั้น สามารถส่งผลต่อสุขภาพฟันในอนาคตได้ ยิ่งถ้าหากเด็กมีฟันน้ำนมหลุดก่อนเวลาอันควร อาจจะทำให้เกิดภาวะฟันหายหรือฟันห่างเพราะฟันแท้ที่ควรที่จะขึ้นมานั้น ไม่สามารถงอกขึ้นมาตามธรรมชาติได้


ซึ่งที่เราเรียกว่าฟันหายและส่งผลทำให้เกิดฟันห่างตามมา ถ้าเด็กมีฟันห่างอาจจะทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ โดนเพื่อนล้อ หรืออาจส่งผลต่อการรับประทานอาหาร ทำให้การบดเคี้ยวอาหารมีประสิทธิภาพน้อยลงและสามารถทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง ดังนั้น หากเด็กมีปัญหาฟันห่างวิธีการที่ดีที่สุดก็คือควรพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อขอรับคำแนะนำและเข้ารับการรักษาการจัดฟันในเด็ก เพราะการจัดฟันในเด็ก สามารถช่วยแก้ไขปัญหาฟันได้แทบทุกกรณีและสามารถรักษาฟันของเด็กได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปีเลยทีเดียว ทั้งยัง ช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้า แก้ไขความผิดปกติของกล้ามเนื้อบนใบหน้าและปรับตำแหน่งลิ้นให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ตั้งแต่อายุยังน้อย


อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพูดทำความเข้าใจถึงปัญหาฟันของเด็ก ว่าถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีอาจจะส่งผลทำให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันในอนาคตได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายและส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันโดยตรง และวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเด็กที่มีปัญหาช่องฟันห่างว่าสามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้หรือไม่ ก่อนอื่นเราจะมาพูดถึงภาวะฟันห่างก่อน ซึ่งภาวะฟันห่างนั้นส่งผลทำให้เสียความมั่นใจ มีรอยยิ้มที่ไม่มั่นใจ ซึ่งถือว่าส่งผลต่อการเข้าสังคมเป็นอย่างมาก แต่ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการเข้ารับการจัดฟันเพราะการจัดฟัน เป็นการจัดเรียงตัวฟันเพื่อให้ฟันเรียงตัวกันอย่างสวยงาม เช่นเดียวกันกับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถแก้ไขปัญหาฟันห่างได้แต่จะใช้ระยะเวลานานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล


สำหรับฟันห่างนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของเด็ก เช่น การดูดนิ้ว การใช้ลิ้นดุนฟัน หรือการกลืนนน้ำลายที่ผิดวิธี พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลต่อสุขภาพฟันหรือแม้กระทั่งขากรรไกรและขนาดของฟันที่ไม่สมดุลกันก็จะทำให้มีช่องว่างระหว่างฟันได้มากกว่าปกติหรือการสูญเสียฟันก่อนกำหนดทำให้ฟันซี่อื่นเคลื่อนตัวออกจากทิศทางเดิม ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟันได้ นอกจากนี้ปัญหาเกี่ยวกับโรคเหงือกอักเสบก็สามารถทำให้เกิดฟันห่างได้เช่นเดียวกัน แต่เด็กที่มีภาวะช่องฟันห่าง ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันในเด็ก เพระานอกจากนี้จะช่วยในการแก้ไขปัญหาฟันห่างแล้ว ยังสามารถช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้าได้ด้วย
 

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะคลินิกของเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการจัดฟันในเด็กและมีประสบการณ์อย่างยาวนาน จึงทำให้สามารถแนะนำหรือแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างถูกวิธีและทันตแพทย์ของเรายังสามารถช่วยประเมินปัญหาและแนะนำแนวทางการแก้ไขได้อย่างตรงจุด สามารถแนะนำวิธีการรักษาโดยยึดหลักปัญหาฟันของเด็กเพื่อให้เด็กได้รับการรักษาที่ถูกวิธี เพราะเราอยากให้เด็กๆทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานของท่านที่มีปัญหาฟัน เข้ารับการตรวจฟันกับทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้เด็กได้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ เสริมสร้างพัฒนาการของเด็กและทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 

10
ศูนย์ข้อมูลโควิด-19: เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ควรทำอย่างไร?

ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง คืออะไร?

กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ผู้สัมผัสใกล้ชิด และผู้สัมผัสเสี่ยงสูง โดยให้คำนิยามไว้ว่า

ผู้สัมผัสใกล้ชิด หมายถึง ผู้ที่มีพฤติกรรมการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อเข้าข่าย/ยืนยันในวันเริ่มป่วยในช่วงมีอาการป่วย หรือก่อนมีอาการประมาณ 2-3วัน (ทั้งนี้หากเป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการให้ถือวันที่เก็บสิ่งส่งตรวจเสมือนเป็นวันเริ่มป่วย) โดยมีพฤติกรรมสัมผัสอย่างน้อยข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    ผู้ที่อยู่ใกล้หรือมีการพูดคุยกับผู้ติดเชื้อเข้าข่าย/ยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในระยะ 2 เมตร
    เป็นเวลานานกว่า 5 นาที หรือถูกไอจามรดจากผู้ป่วย
    ผู้ที่อยู่ในบริเวณที่ปิด ไม่มีการถ่ายเทอากาศมากนัก ร่วมกับผู้ติดเชื้อเข้าข่าย/ยืนยันโรคติดเชื้อไวรัส
    โคโรนา 2019 เป็นระยะเวลานานกว่า 30 นาที เช่น ในรถปรับอากาศหรือห้องปรับอากาศ


ผู้สัมผัสใกล้ชิด แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่

ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง หมายถึง ผู้ที่ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย หรือไม่ได้ใส่ personal protective equipment (PPE) ตามมาตรฐานตลอดช่วงเวลาที่มีการสัมผัสใกล้ชิด ข้างต้น

ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ หมายถึง ผู้สัมผัสใกล้ชิดที่ไม่เข้าเกณฑ์ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง


ใครคือผู้สัมผัสเสี่ยงสูง? บุคคลที่ถือเป็นผู้สัมผัสความเสี่ยงสูง ได้แก่

    พักอาศัยอยู่บ้านเดียวกันและใช้ของร่วมกันกับผู้ป่วย
    ได้มีการพูดคุยกับผู้ป่วย มากเกินกว่า 5 นาที (หากไม่สวมหน้ากากอนามัย ยิ่งมีความเสี่ยงสูง)
    ถูกผู้ป่วยไอ จาม รด
    อยู่ในสถานที่แออัดร่วมกับผู้ป่วย ในระยะ 1 เมตร เป็นเวลาเกิน 15 นาที โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย
    เครื่องบิน (นั่ง 2 แถวหน้า-หลังของผู้ป่วย)
    รถประจำทาง รถตู้โดยสาร ถ้าเกิน 15 นาที ถือเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูง


คุณเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือยัง? ใครบ้างที่ควรตรวจ ATK

ควรทำอย่างไร เมื่อรู้ตัวว่าเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง?

สังเกตอาการตนเอง (Self-Monitoring) ประมาณ 3 วัน
สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และเว้นระยะห่างจากบุคลคลอื่น
ตรวจ ATK ด้วยตนเอง อย่างน้อย 2 ครั้ง (หลังจากสัมผัสผู้ติดเชื้อ 3-5 วัน)
ตรวจครั้งที่ 1 ตรวจวันที่ 5 หรือ 6 นับจากวันที่สัมผัสผู้ติดเชื้อโควิด-19
ตรวจครั้งที่ 2 ตรวจวันที่ 10 นับจากวันที่สัมผัสผู้ติดเชื้อโควิด-19


กรณีที่มีอาการแสดง ไข้ ไอ ปวดตัว เจ็บคอ มีน้ำมูก แนะนำให้ตรวจ ATK ทันที


วิธีตรวจหาเชื้อโควิดโดย Antigen Test Kit (ATK) ด้วยตัวเอง

ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

สังเกตอาการตนเอง (Self-Monitoring) ประมาณ 3 วัน
ใช้ชีวิตตามปกติ หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในที่ที่มีคนจำนวนมาก

หากมีอาการ แนะนำให้ตรวจ ATK ด้วยตนเอง

แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงของผู้ติดเชื้อเข้าข่าย/ยืนยันติดเชื้อไวรัสโควิด-19

หน้า: [1] 2 3 ... 68
Tage : ลงโฆษณาฟรี ลงประกาศฟรี ติดอันดับ Google , ประกาศฟรีไม่มี หมดอายุ , ฝากร้านฟรี , ประกาศขายของฟรี ติด google , ลงประกาศฟรี 100 , ลงประกาศฟรี Post ฟรี , ลงประกาศฟรีไม่ต้องสมัคร , เว็บประกาศฟรีติดอันดับ , ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ , ฝากร้านฟรีโพสฟรี , รวมเว็บลงประกาศฟรี , ลงประกาศฟรี ติดอันดับ google , ลงประกาศฟรีออนไลน์ , เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ , ลงประกาศฟรี pantip , ลงประกาศฟรี , โพสฟรี โปรโมทฟรี โฆษณาสินค้าฟรี ลงประกาศฟรี โพสฟรี โพสประกาศฟรี ลงประกาศขายฟรี ลงประกาศฟรี ลงโฆษณาฟรี โฆษณาสินค้าฟรี , เว็บลงประกาศขายฟรี ลงประกาศฟรี ติดอันดับ Google ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด เว็บลงประกาศขายฟรี โพสประกาศฟรี ติด google ลงประกาศขายบ้านฟรี ลงประกาศขายรถฟรี โพสฟรี โฆษณาสินค้าฟรี ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซต์ฟรี ลงโฆษณาฟรี google ลงประกาศสินค้าฟรี ลงโฆษณาฟรี เว็บลงประกาศขายฟรี ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซต์ฟรี ติด google ฝากขายฟรี ลงประกาศสินค้าฟรี , รวมเว็บลงประกาศฟรี ติด google