แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 63
1
การดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน เป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องให้ความสำคัญเพราะเป็นเรื่องที่เราต้องทำในกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว แต่การดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน ก็ยังทำให้หลายคนมีปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันตามมา เนื่องจากมีวิธีการดูแลรักษาความสะอาดที่ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกวิธี ถึงแม้จะแปรงฟันทุกวัน แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาได้ ถ้าแปรงฟันไม่ถูกวิธี รวมไปถึงวิธีการใช้ไหมขัดฟัน ถ้าหากทำไม่ถูกวิธีก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพช่องปากได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ การใช้น้ำยาบ้วนปาก ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญในการทำความสะอาดช่องปากและฟัน ซึ่งหลายคนก็เลือกใช้น้ำยาบ้วนปาก ภายหลังจากการทำความสะอาดช่องปากและฟัน เพราะเชื่อว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากจะทำให้เรามีช่องปากที่สะอาดนั่นเอง แถมยังมีวิธีการใช้ที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก แต่หลายคนที่ใช้น้ำยาบ้วนปากยังใช้ไม่ถูกวิธี ซึ่งเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพในภายหลังได้ เพราะฉะนั้น เราต้องเลือกใช้น้ำยาบ้วนปากให้เหมาะสมและถูกวิธี เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพ


สำหรับน้ำยาบ้วนปากนั้น เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ผู้บริโภคนิยมใช้เพื่อรักษาสุขภาพในช่องปาก โดยเชื่อว่าจะสามารถดับกลิ่นปาก รักษาสุขภาพฟันและเหงือกได้ จึงถูกนำมาใช้เป็นตัวช่วยเพื่อขจัดสิ่งสกปรก ภายหลังจากการแปรงฟันและการใช้ไหมขัดฟัน หลายคนเชื่อว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากจำเป็นต้องทำก่อนหรือหลังการแปรงฟันทุกครั้ง ในขณะที่อีกหลายคนไม่เคยใช้น้ำยาบ้วนปากเลย แท้จริงแล้ว น้ำยาบ้วนปากจำเป็นจริงๆ หรือไม่


วันนี้ทางคลินิกจะมาช่วยหาคำตอบว่าน้ำยาบ้วนปากมีความจำเป็นหรือไม่ และหากใช้น้ำยาบ้วนปากที่ผิดวิธีจะส่งผลเสียต่อสุขภาพช่องปากและฟันอย่างไรบ้าง  น้ำยาบ้วนปาก เป็นของเหลวที่ช่วยในการทำความสะอาดช่องปากเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถทดแทนการทำความสะอาดฟัน และเหงือกจากการแปรงฟัน และใช้ไหมขัดฟันได้ เพราะการบ้วนปากเพียงอย่างเดียวไม่สามารถกำจัดเศษอาหารที่ตกค้างตามซอกเหงือกซอกฟันทั้งหมดได้ ซึ่งน้ำยาบ้วนปาก มีหน้าที่ช่วยลดเชื้อโรคภายในช่องปากบางส่วน ระงับกลิ่นปากได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ถ้าหากเราแน่ใจแล้วว่า การทำความสะอาดช่องปากและฟันทำได้ดีแล้วและสะอาดดีแล้ว การใช้น้ำยาบ้วนปากก็ไม่จำเป็น แต่ในทางกลับกัน น้ำยาบ้วนปากก็มีประโยชน์ต่อช่องปากด้วย เพราะนอกจากจะสามารถระงับกลิ่นปากได้แล้ว น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมพิเศษบางอย่าง ยังอาจช่วยดูแลปัญหาสุขภาพในช่องปากอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ช่วยทำให้เรามีฟันที่ขาวขึ้น ลดการเกิดฟันผุ ลดการเกิดคราบจุลินทรีย์และโรคเหงือกอักเสบ ช่วยบรรเทาอาการปวดเฉพาะจุดในช่องปาก บรรเทาอาการต่าง ๆ จากภาวะปากแห้งเนื่องจากน้ำลายน้อยได้


ถึงแม้น้ำยาบ้วนปากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพช่องปากและฟัน แต่ถ้าหากเราใช้อย่างผิดวิธีก็อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อช่องปากและฟันได้เช่นเดียวกัน ข้อแรกเลยคือ เราไม่ควรใช้น้ำยาบ้วนปากแทนการแปรงฟัน เพราะการใช้น้ำยาบ้วนปาก เป็นเพียงเพิ่มกลิ่นหอมสดชื่นให้กับช่องปากเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่คราบจุลินทรีย์ เศษอาหาร ยังคงอยู่ตามซอกเหงือกซอกฟัน รวมไปถึงกระพุ้งแก้ม ลิ้น และบริเวณอื่นๆ ดังนั้น ควรใช้น้ำยาบ้วนปากเพิ่มเติมหลังจากแปรงฟัน แล้วเท่านั้น นอกจากนี้ การเลือกใช้น้ำยาบ้วนปากก็มีความสำคัญ


หากเราเลือกใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือกรดแรงจนเกินไป อาจทำให้เยื่อบุภายในช่องปากระคายเคือง ผิวฟันบางลง จนอาจทำให้เกิดอาการเสียวฟันตามมาได้ และถ้าหากใช้น้ำยาบ้วนปากบ่อยเกินไป อาจเข้าไปทำลายเชื้อแบคทีเรียดีๆ ที่อาศัยอยู่ในปาก และอาจก่อให้เกิดเชื้อราภายในปากตามมาภายหลังได้ นอกจากนี้ ยังอาจทำให้ฟันเกิดคราบหินปูนได้ง่าย ตุ่มรับรสชาติจากลิ้นเพี้ยนไป และสีเคลือบผิวฟันเปลี่ยนอีกด้วย ทางคลินิกเราอยากให้ทุกคนเลือกใช้น้ำยาบ้วนปากที่เหมาะสมและที่สำคัญควรจะใช้อย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาเกี่ยวกับช่องปากและหันในอนาคต ควรเอาใจใส่ในเรื่องของความสะอาดของสุขภาพช่องปาก เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง



จัดฟันบางนา: น้ำยาบ้วนปาก ใช้ผิดวิธี เสี่ยงเกิดอันตรายต่อช่องปาก อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.idolsmiledental.com/category/จัดฟันบางนา/

2
เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงเคยประสบปัญหาการนอนกรน หรือคนรอบข้างนอนกรนกันมาบ้างไม่มากก็น้อย หลายๆท่านมองว่าการนอนกรนแค่สร้างปัญหารำคาญให้คนรอบข้างในขณะหลับเท่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว จากการศึกษาวิจัยการนอนกรนอาจจะมีภาวะที่เรียกว่าหยุดหายใจชั่วขณะร่วมด้วยส่งผลให้สมองขาดออกซิเจน และหากว่ามีอาการที่หนักกว่านี้อาจจะส่งผลถึงชีวิตได้

ในวันนี้ทางด้าน Clinic จะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับต้นเหตุและความอันตรายของการนอนกรน รวมถึงวิธีการแก้ปัญหาด้วย EF Line นวัตกรรมสุดทันสมัย ที่ครอบคลุมเรื่องการจัดฟันเด็กเล็ก ปรับเปลี่ยนโครงสร้างใบหน้า รวมถึงช่วยแก้ปัญหาอาการนอนกรนของท่านได้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

 

การนอนกรนเกิดจากอะไร ?

อาการนอนกรน เกิดขึ้นในขณะหลับเนื่องจากว่ากล้ามเนื้อคอเกิดการผ่อนคลายและหย่อนตัวลง ส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลง เมื่ออากาศผ่านจึงเกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อคอ เช่น ทอนซิล ลิ้นไก่ เพดานอ่อน เป็นต้น ซึ่งการสั่นดังกล่าวนั่นเองที่ทำให้เกิดเสียงดัง ที่เรียกว่า “กรน”

นอกจากการเกิดภาวะการกรนตามธรรมชาติแล้ว ยังเกิดขึ้นจากอาการป่วยที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจด้วย เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ ผู้ป่วยโรคอ้วน การมีเนื้องอกหรือถุงน้ำของระบบทางเดินหายใจส่วนบน การนอนกรนก็ถือว่าเป็นสัญญาณของโรคเหล่านี้ด้วยเช่นกัน


อุปกรณ์ทันตกรรม EF Line ช่วยให้หายนอนกรน

เชื่อว่าหลายๆ ท่านอาจจะรู้จักกับชุดเครื่องมือทางทันตกรรม EF Line กันมาบ้างแล้ว แต่หลายๆท่านอาจจะทราบเพียงแค่ว่า อุปกรณ์ตัวนี้มีหน้าที่ในการช่วยจัดฟันที่ผิดปกติของเด็กเล็กวัยตั้งแต่ 4 ขวบ เพื่อให้กลับมาเป็นปกติและไม่มีปัญหาตามมาอีก รวมถึงปรับโครงสร้างส่วนกระดูกขากรรไกรให้เข้าที่เพื่อช่วยให้ใบหน้าที่ผิดรูปเข้าทรงตามปกติ แต่รู้หรือไม่ว่า อาการนอนกรน EF Line ก็สามารถช่วยได้ เนื่องจากว่าการนอนกรนส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการที่มีตำแหน่งลิ้นผิดปกติ รวมถึงขากรรไกรที่ไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่ง EF Line สามารถปรับส่วนต่างๆเหล่านี้ให้สมดุล เป็นธรรมชาติมากที่สุดโดยที่ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เพราะ EF Line จะค่อยๆปรับส่วนต่างๆทีละนิดไม่ใช่การเร่งรีบในการดัดจึงไม่มีอันตรายหากใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรมชนิดนี้ แถมยังส่งผลดีต่อโครงสร้างใบหน้าอีกด้วย

 

วิธีใช้ EF Line ช่วยแก้ไขอาการนอนกรนทำอย่างไร ?

ในช่วงแรกต้องขอบอกว่าอาจจะไม่เคยชินในการใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line อาจจะมีการเคืองบ้างเล็กน้อย แต่ในขณะที่กำลังหลับให้พยายามใส่ให้ติดปาก โดยใส่ขณะที่นอนหลับนั้นจะใช้เวลาในการใส่อยู่ที่ 10 ชั่วโมง เพื่อปรับการวางลิ้นและขากรรไกรให้เข้าที่ ท่านก็จะเลิกอาการนอนกรนได้ในเวลาไม่นาน

 

เผย 6 วิธีลดอาการนอนกรน ?

1.    ควบคุมน้ำหนัก

ต้องขอบอกเลยว่าความอ้วนถือว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักๆ ของการนอนกรน เนื่องจากช่องทางเดินหายใจบริเวณคอถูกบีบให้เล็กลงด้วยชั้นไขมันสะสม รวมถึงไขมันในส่วนของหน้าอกและท้องก็ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร่างกายต้องทำการหายใจหนักขึ้น


2.    ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอจะช่วยให้ช่องเนื้อทางเกินหายใจดึงรั้งและมีความแข็งแรงขึ้น เนื้อเยื่อในลำคอจะไม่หย่อนมากในขณะหลับ


3.    จัดท่านอนให้ดี

พยายามนอนตะแคงงอข้อศอกให้ชิดลำคอ เพื่อเป็นการให้ข้างมือยันคางไว้เพื่อเป็นการปิดปากไปในตัว หรือนอนหนุนหมอนข้างไว้เพื่อไม่ให้เกิดการพลิกตัว ก็จะช่วยให้ท่านหายจากการนอนกรนได้


4.    ยกศีรษะให้สูง

หากว่าการนอนตะแคงไม่สามารถทำได้ให้ลองวิธีการนอนหงาย และใช้หมอนใบเล็กๆสอดไว้ใต้ลำคอด้านบน จะช่วยให้ลิ้นไม่หย่อนลงลำคอ การหายใจจะสะดวกขึ้น สามารถลดอาการนอนกรนได้


5.    ทำที่นอนให้สะอาดอยู่เสมอ

ที่ต้องทำที่นอนให้สะอาดส่วนหนึ่งเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืด ซึ่งเกิดจากไรฝุ่น โรคเหล่านี้เป็นต้นเหตุสำคัญของการนอนกรนด้วยเช่นกัน


6.    ทำจมูกให้สะอาดก่อนนอน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปิดกั้นการหายใจ หรือทำให้หายใจไม่สะดวก คือปัจจัยสำคัญในการนอนกรน ซึ่งในขณะที่กำลังจะนอนให้ทำการทำความสะอาดโพรงจมูกให้สะอาด ก็จะสามารถช่วยไม่ให้นอนกรนได้อีกทางหนึ่ง

 
ดังที่กล่าวมานั้นการนอนกรนถือว่าอันตรายกับชีวิตของท่านเอง และสร้างความรำคาญให้กับคนรอบข้างอีกด้วย หากว่าใช้ทั้ง 6 วิธีที่กล่าวมาแล้วยังไม่ได้ผล แนะนำปรึกษาทันตแพทย์เพื่อใช้อุปกรณ์ EF Line จะสามารถช่วยท่านได้



ระวัง “นอนกรน” ส่งผลกับชีวิต จัดฟันเด็ก EF Line ช่วยได้ อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.idolsmiledental.com/การจัดฟันเด็ก/

3
ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ผู้ปกครองไม่ควรละเลย เพราะการที่พ่อแม่ผู้ปกครองละเลยในเรื่องของสุขภาพฟันของลูกน้อย อาจจะทำให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ไม่ดี ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กได้ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะปลูกฝังให้เด็กรู้จักตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพช่องปาก และฟัน เพราะในวัยเด็ก แน่นอนว่าไม่มีเด็กคนไหนที่ไม่ชื่นชอบการรับประทานขนมหวาน ลูกอม หรืออาหารที่มีรสหวาน ซึ่งการรับประทานอาหารเหล่านี้เสี่ยงต่อการเกิดฟันผุของเด็กมาก ถ้าหากไม่ได้รับการทำความสะอาดที่ดี จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมเด็กจึงเกิดโรคฟันผุได้ง่าย ซึ่งการเกิดฟันผุในเด็กนั้น อาจจะส่งผลกระทบมาจนถึงวัยผู้ใหญ่ได้ เพราะการที่เราไม่ดูแลสุขภาพช่องปากและฟันให้ดีตั้งแต่ยังมีฟันน้ำนม อาจจะทำให้ฟันแท้ของเราที่จะขึ้นมามีรูปร่างและลักษณะการขึ้นของฟันที่มีความผิดปกติได้

 

ดังนั้น ควรให้ความสนใจในเรื่องของการดูแลฟันตั้งแต่ยังมีฟันน้ำนม เพื่อที่จะได้มีฟันแท้ที่สวยงามและมาเกิดปัญหาในอนาคต แต่ถ้าหากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดมีบุตรหลานที่มีปัญหาในเรื่องของรูปร่างฟัน การขึ้นของฟันที่มีความผิดปกติ หรือการสบฟันที่ผิดปกติ ก็ควรพาบุตรหลานเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการจัดฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะสังเกตสัญญาณผิดปกติเหล่านี้ และรีบพาบุตรหลานเข้ารับการแก้ไข ซึ่งหากใครอยากพาบุตรหลานเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยโปรแกรม EF Line ก็สามารถพาบุตรหลานเข้ามารักษาได้ ตั้งแต่อายุ 4-7 ปี แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ก่อนที่เราจะพาบุตรหลานเข้าจัดฟัน EF Line เราจะต้องคำนึงถึงเรื่องใดบ้าง และจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ก่อนเข้ารักษาด้วยการจัดฟัน EF Line และวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟัน EF Line จะต้องคำนึงถึงเรื่องใดบ้าง

 

อย่างแรกเลย เราต้องคำนึงถึงตัวเด็กก่อนเป็นอันดับแรก ว่า บุตรหลานของท่านจะสามารถให้ความร่วมมือในการเข้ารับการจัดฟันได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเราจะต้องปลูกฝังถึงข้อดีของการที่เข้ารับการจัดฟัน EF Line เพื่อให้ลูกน้อยของเรา สามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์จัดฟันได้เป็นอย่างดี  เพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง ต่อมาก็คือ การเลือกสถานบริการทางทันตกรรม โดยพ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะศึกษารายละเอียดในการจัดฟัน EF Line เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเลือกสถานที่เข้ารับการจัดฟัน จะต้องเลือกคลินิกทันตกรรมที่มีความปลอดภัย มีความน่าเชื่อถือ และมีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟัน EF Line เพื่อที่จะได้พาบุตรหลานของท่านเข้ารับการรักษาที่มีมาตรฐานและความปลอดภัยมากที่สุด เพราะในเรื่องของความปลอดภัยของบุตรหลานของท่านก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้น

 
ก่อนที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟัน EF Line จะเลือกสถานที่ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยมากที่สุด ต่อมาในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการรักษา ควรศึกษาข้อมูลและรายละเอียดในเรื่องของค่าใช้จ่ายให้ดี ควรวางแผนในเรื่องของราคาของการจัดฟัน EF Line โดยเลือกบริการที่สามารถตอบโจทย์และเหมาะสมกับปัญหาฟันของบุตรหลานของเรา เพื่อให้เข้ากับแนวทางของเราด้วย ซึ่งเรื่องของค่าใช้จ่าย แน่นอนว่าแต่ละที่ย่อมมีความแตกต่างกัน และสุดท้ายควรคำนึงถึงการสร้างทัศนคติที่ดีในการดูแลรักษาฟันให้ลูกน้อยของท่าน เพื่อที่จะได้ปลูกฝังในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันให้ดี เพราะเด็กบางคนกลัวการเข้าพบทันตแพทย์ อาจจะกลัวเจ็บ หรือรู้สึกเขินอาย ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพูดทำความเข้าใจให้เด็กรู้สึกว่า เรื่องสุขภาพช่องปากและฟันเป็นเรื่องที่สำคัญที่เราจะต้องดูแลให้มากเป็นพิเศษ

 
หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟัน EF Line สามารถติดต่อสอบถามได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านทันตกรรมในเด็ก สามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้องและตรงจุด เพื่อให้เด็กๆทุกคน มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพราะเรื่องสุขภาพฟัน ส่งผลต่อพัฒนาการของลูกน้อยของเรา และจะช่วยทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น



ก่อนพาลูกน้อยเข้าจัดฟันเด็ก EF Line ควรคำนึงถึงเรื่องใดบ้าง อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.idolsmiledental.com/การจัดฟันเด็ก/

4
การเข้ารับการจัดฟันแบบใส เป็นการจัดฟันรูปแบบหนึ่งที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องของของรูปร่างและลักษณะของฟัน ที่มีความผิดปกติ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งการที่เรามีรูปร่างฟันที่ผิดปกติ อาจจะทำให้เราสามารถบดเคี้ยวอาหารได้ไม่ดีเท่าที่ควร หรือทำความสะอาดฟันได้ยาก ดังนั้น การแก้ไขปัญหาฟันในเรื่องของรูปร่างฟันนั้น การเข้ารับการจัดฟันจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่การเข้ารับการจัดฟันแบบใสนั้น สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้แทบจะทุกกรณี  แต่ถ้าหากผู้เข้ารับการจัดฟันมีปัญหาฟันที่สามารถแก้ไขได้ยาก ทันตแพทย์อาจจะแนะนำให้ทำการรักษาก่อนที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใส ถึงแม้ว่าการจัดฟันแบบใสจะสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างหลากหลาย


แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่อาจจะทำให้ผู้เข้ารับการรักษาไม่สามารถเข้ารับการจัดฟันแบบใสได้ ยกตัวอย่างเช่น ผู้เข้ารับการรักษามีปัญหาของโรคเหงือกอักเสบ ซึ่งกรณีนี้ทันตแพทย์อาจจะให้เข้ารับการรักษาก่อนที่เข้ารับการจัดฟันแบบใส อย่างที่หลายคนอาจจะเคยทราบกันดีอยู่แล้วว่า การเข้ารับการจัดฟันแบบใส มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมในรูปแบบใหม่เข้ามาช่วยในการรักษา ตั้งแต่ขั้นตอนของการวางแผนการรักษาไปจนถึงขั้นตอนการรักษา หลายคนอาจจะมีคำถามว่า การเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใสนั้น ทำให้เราสามารถเห็นผลการรักษาล่วงหน้าได้หรือไม่ ต้องอธิบายก่อนว่า การวางแผนการรักษาในการจัดฟันแบบใสนั้น ทันตแพทย์จะทำการวิเคราะห์ปัญหาฟันของเราด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และทำการวางแผนการรักษาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ แสดงในรูปแบบของ 3D จึงทำให้เราได้เห็นวิธีการทำงานของเครื่องมือการจัดฟันได้ตลอดจนจัดฟันเสร็จ


ซึ่งวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงผลการรักษาของการจัดฟันแบบใสของแต่ละบุคคลซึ่งทางผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถทราบผลการรักษาล่วงหน้าได้หรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบ สำหรับการจัดฟันแบบใสนั้น เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ในการรักษาเรามีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยในการรักษา จึงทำให้มีผลการรักษาที่แม่นยำ ตามที่ทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาได้วางแผนเอาไว้  และการจัดฟันแบบใสแทบไม่เห็นว่ามีเครื่องมือการจัดฟันอยู่ และจุดเด่นอีกข้อหนึ่งก็คือ การที่ผู้เข้ารับการรักษาจะสามารถเห็นผลการรักษาล่วงหน้าได้ สามารถเห็นผลการรักษาแบบ step by step ได้เลย  นอกจากนี้ผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถออกแบบการจัดฟันร่วมกับทันตแพทย์ได้ ดังนั้น การเข้ารับการจัดฟันแบบใส ไม่ใช่ทำได้เพียงแค่ให้เราสามารถมองเห็นผลการรักษาได้ล่วงหน้า แต่ยังทำให้เราสามารถวางแผนการรักษาร่วมกับทันตแพทย์ได้ด้วย จึงทำให้เราสามารถออกแบบรอยยิ้มให้ตัวเองได้ สามารถออกแบบฟันของเราได้ โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นมา


โดยอาศัยข้อมูลจากผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสทั่วโลก ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถออกแบบรอยยิ้มให้กับตัวเองได้นี่คือ ข้อดีของการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใสอีกอย่างหนึ่ง ถือว่าทำให้เราสามารถพึงพอใจในการรักษาได้ แก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย อย่างไรก็ตาม การจัดฟันแบบใส ยังมีผลการรักษาที่แม่นยำ นี่ถือว่าเป็นข้อดีและสาเหตุที่ทำให้การเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใส จึงได้รับความนิยมทั่วโลก เพราะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง


สำหรับใครที่สนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรรามีทันตแพทยน์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟัน และยังได้รับการรับรองจากทาง Invisalign จึงมั่นใจได้ว่า คลินิกของเราจะทำให้เรามีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติได้อย่างแน่นอน ทั้งยังช่วยเสริมสร้างในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันได้อย่างดีอีกด้วย เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่มากยิ่งขึ้น และยังช่วยทำให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างแน่นอน



กาจัดฟันใส ทำให้เราสามารถเห็นผลการรักษาล่วงหน้าได้หรือไม่ อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.idolsmiledental.com/

5
สมองดีเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ต้องการ ทำอย่างไรจึงจะป้องกันไม่ให้สมองเสื่อมก่อนวัย และทำอย่างไรจึงจะทำให้สมองยังคงดีอยู่กับเราตลอดชีวิต การเลือกรับประทานอาหารที่ดีเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยดูแลสมอง เริ่มต้นดูแลสมองของคุณด้วยอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อสมองและความจำจะได้อยู่กับเราไปนานๆ


หลักในการเลือกรับประทานอาหารเพื่อการดูแลสมอง

    รับประทานอาหารประเภทต้านอนุมูลอิสระ เพื่อลดปัญหาอนุมูลอิสระทำลายสมอง
    รับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดเข้าสู่สมอง
    รับประทานอาหารที่ไม่ปนเปื้อนสารโลหะหนักหรือสารเคมีต่างๆ

สารอาหารบำรุงสมอง

สมองต้องการสารอาหารทั้ง 5 หมู่ ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ ดังนั้นเพื่อส่งเสริมการทำงานของสมอง จึงควรรับประทานอาหารให้ได้ครบ 5 หมู่ หลากหลายและไม่มากไม่น้อยจนเกินไป

คาร์โบไฮเดรต สมองต้องการคาร์โบไฮเดรตในรูปน้ำตาลกลููโคสเพื่อเป็นแหล่งพลังงานสำคัญ ควรเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตในรูปที่ไม่ขัดสี เพราะการรับประทานแป้งและน้ำตาลมากเกินไปส่งผลให้สมองเฉื่อย

โปรตีน ทำหน้าที่ช่วยเป็นสารสื่อระหว่างเซลล์กับเซลล์ ควรเลือกรับประทานเนื้อสัตว์ชนิดไม่ติดมัน และในหนึ่งสัปดาห์ควรรับประทานปลาน้ำลึกอย่างน้อย 2-3 ครั้ง เนื่องจากมีสารโอเมกา-3 ซึ่งเป็นสารบำรุงสมองที่สำคัญ แต่หลักสำคัญคือ อย่ารับประทานปลาเพียงชนิดเดียว ควรเลือกรับประทานปลาหลากชนิดสลับหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันสารพิษตกค้างที่อาจอยู่ในเนื้อปลา สำหรับปลาในประเทศไทย เช่น ปลาทู ปลากระพง ปลาเก๋า ก็เป็นปลาที่มีโอเมกา-3 เช่นกัน สามารถเลือกรับประทานสลับกันไปได้ ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องรับประทานปลาทะเลทุกมื้อ อาจเปลี่ยนเป็นปลาน้ำจืดบ้าง แต่ควรทำให้สุกเพื่อป้องกันพยาธิและแบคทีเรียต่างๆ โดยวิธีการปรุงอาหารควรใช้การนึ่ง ต้ม หรือย่าง จะดีกว่าการทอด

ไขมัน มีความสำคัญในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทและเยื่อบุผิวของเนื้อเยื่อสมอง โดยกรดไขมันที่มีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์สมอง เยื่อหุ้มประสาทสมอง และการทำงานของร่างกาย ได้แก่ กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่รู้จักกันดีในชื่อโอเมก้า 3, 6 และ 9 ทั้งนี้ควรเลือกรับประทานเฉพาะไขมันหรือน้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันสัตว์ กะทิ น้ำมันมะพร้าว ไขมันทรานส์ เพราะนอกจากไขมันเหล่านี้จะมีผลต่อสมอง โดยเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดอัลไซเมอร์ถึง 2 เท่าแล้วยังส่งผลร้ายกับหัวใจอีกด้วย

วิตามินบี 1 ช่วยบำรุงสมอง ทำให้สมองแข็งแรง พบมากในถั่ว งา ข้าวโพด หรืออาหารที่ปรุงจากเมล็ดข้าว เช่น ขนมปังที่ทำจากแป้งไม่ขัดขาวหรือมีธัญพืชผสม พาสตา รวมถึงในข้าวกล้องที่เรารับประทานกันทุกวัน สำหรับในผู้สูงอายุแนะนำให้รับประทานงาคั่วและบด เพราะจะช่วยให้ย่อยได้ดีกว่าการรับประทานเป็นเม็ด

วิตามินบี 5 ช่วยในการถ่ายทอดสัญญาณประสาทเมื่อถูกกระตุ้น พบในเนื้อวัว สัตว์ปีก ไข่ ปลา ธัญพืช รวมถึงนมสดและผลไม้

โคลีน เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยบำรุงสมอง มีอยู่ในอาหารจำพวกข้าวกล้อง ข้าวโพด ซึ่งมีมากในส่วนที่เป็นจมูกข้าวโพด ในคนที่ชอบรับประทานข้าวโพดฝานมักจะไม่ได้รับโคลีน ดังนั้นควรใช้มีดฝานลงไปให้ลึกถึงซังข้าวโพดเพื่อให้ได้รับโคลีน นอกจากนี้ โคลีนยังพบได้ในไข่แดง ซึ่งคนที่มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูงต้องระวังไม่รับประทานมากเกินไป

วิตามินบี 6 ช่วยในการผลิตสารเคมีในสมอง พบในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ธัญพืช

วิตามินบี 12 ช่วยในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงให้สมบูรณ์ และบำรุงเนื้อเยื่อประสาท พบได้แต่เฉพาะในเนื้อสัตว์ ปลา สัตว์ปีก และผลิตภัณฑ์จากนมต่างๆ ในคนที่ขาดวิตามินบี 12 อาจส่งผลให้เกิดภาวะสมองเสื่อมได้ ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติจึงควรหมั่นตรวจว่ามีโรคของวิตามินบี 12 ต่ำหรือไม่ ถ้าต่ำแพทย์อาจให้รับประทานวิตามินบี 12 ชนิดเม็ดเพิ่มเติม

กรดโฟลิก จำเป็นต่อระบบรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกในสมอง พบมากในกล้วย ส้ม มะนาว สตรอเบอร์รี แคนตาลูป ผักใบเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลิสง หรือถั่วลันเตา และเป็นกรดที่สำคัญมากสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ ช่วยในการสื่อสารอารมณ์และความรู้สึกจากแม่ไปสู่ลูก

แมงกานีส เป็นเกลือแร่ที่ช่วยดูแลสุขภาพของสมองและระบบประสาท พบมากในอาหารทะเล โดยเฉพาะหอยนางรม แต่ต้องระวังในเรื่องของคอเลสเตอรอลและแบคทีเรียในกรณีที่รับประทานสด

แมกนีเซียม โพแทสเซียม และแคลเซียม เป็นสารอาหารที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาท พบในผักใบเขียวและผลไม้ เช่น กล้วยหอม สับปะรด ทั้งนี้การรับประทาน ผัก ผลไม้จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะช่วยชะลอการเสื่อมของสมอง และป้องกันไม่ให้สมองถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ

สารแคปไซซิน มีอยู่ในเม็ดพริก ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนผ่านเส้นเลือดขนาดเล็กในสมองได้ดี ควรรับประทานพริกสดมากกว่าพริกป่น เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อราอะฟลาทอกซิน แต่ผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารควรระมัดระวัง เพราะพริกอาจทำให้เป็นแผลมากขึ้น

วิตามินซี วิตามินอี และเบตาแคโรทีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดสมองเสื่อม จึงอาจช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ สารต้านอนมูลอิสระนี้พบในผัก ผลไม้ และถั่วต่างๆ ควรรับประทานผักผลไม้สีเข้มๆ ต่างชนิดกันไป

ขมิ้น มีสารเคอร์คูมิน ช่วยต้านการอักเสบและลดการเสื่อมของสมองจากโรคอัลไซเมอร์ มีงานวิจัยที่พบว่าชาวอินเดียมีอัตราการเป็นโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากใช้ขมิ้นประกอบอาหารกันมาก

ตัวอย่างเมนูอาหารสมอง

แซลมอน-อะโวคาโดสลัด


ส่วนผสม

ปลาแซลมอน 200 กรัม

น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ

เกลือ ¼ ช้อนชา

พริกไทยดำบด ¼ ช้อนชา

อะโวคาโด 1 ผล

ไข่ไก่ 2 ฟอง

งาขาว 1 ช้อนโต๊ะ
   

ส่วนผสมน้ำสลัด

น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ

แอปเปิลไซเดอร์ 3 ช้อนโต๊ะ

กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ

ดิจองมัสตาร์ด 2 ช้อนชา

น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ


วิธีทำ

    นำเนื้อปลาแซลมอนหั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยดำบด จากนั้นนำไปย่างบนกระทะให้สุกหรือนำไปลวกตามชอบ พักไว้
    นำไข่ไก่ต้มในน้ำ ใส่เกลือเล็กน้อย ใช้ไฟปานกลาง ต้มประมาณ 10-12 นาทีจนสุก
    ทำส่วนผสมของน้ำสลัด โดยใส่น้ำมันมะกอก น้ำส้มสายชูแอปเปิลไซเดอร์ กระเทียม ดิจองมัสตาร์ด น้ำผึ้ง เกลือ และพริกไทยดำบด คนให้เข้ากัน
    นำผักสลัดใส่ในชามใหญ่ เทส่วนผสมที่เป็นน้ำสลัดคลุกเคล้าเบาๆ ให้เข้ากัน จัดใส่จาน เตรียมไว้
    นำไข่ต้มที่สุกแล้วแกะเปลือกออก นำมาสไลด์เป็นแผ่นบางๆ หลังจากนั้นหั่นอะโวคาโดเป็นชิ้นบางตามยาว วางบนผักสลัดและวางเนื้อแซลมอนสุก สุดท้ายโรยด้วยงาขาว พร้อมเสิร์ฟ

หมายเหตุ

    สามารถใช้ปลากระพง ปลาทู หรือปลาอื่นๆ แทนปลาแซลมอนได้
    สามารถใช้น้ำมันรำข้าวแทนน้ำมันมะกอกได้



วิตามินบำรุงสมอง: สมองดี ความจำดี เริ่มต้นที่อาหาร อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://mmed.com/

6
สารอาหาร เป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกาย อาหารที่เรารับประทานเข้าไป จะช่วยเสริมสร้างอวัยวะต่าง ๆ ให้ทำงานได้สมบูรณ์ขึ้น และยังช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย สารอาหารสำคัญต่าง ๆ ได้แก่


สารอาหารบำรุงสมองและประสาท

โอเมก้า – 3 : มีมากในปลาแซลมอน ปลาสวาย และปลาทะเลน้ำลึก

กรดโฟลิก : มีในผักใบเขียวเข้ม แครอท ตับ ไข่แดง แคนตาลูป ฟักทอง อะโวคาโด กล้วย ส้ม มะนาว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ข้าวซ้อมมือ ข้าวสาสีไม่ขัดขาว และธัญพืชต่างๆ

สังกะสี : มีมากในจมูกข้าว เมล็ดฟักทอง ไข่ นม

โคลีน : มีมากในอาหารจำพวกข้าวกล้อง จมูกข้าวโพด ผักใบเขียวต่าง ๆ

แมงกานีส : มีมากในอาหารทะเล ผักใบเขียวเข้ม แอ๊ปเปิ้ล และมะม่วง ฯลฯ

โพแทสเซียม : มีมากในส้ม ส้มโอ แคนตาลูป มะเขือเทศ ผักใบเขียว เมล็ดทานตะวัน กล้วยน้ำว้า มันเทศ มันฝรั่ง

วิตามินบี 1 : มีมากในธัญพืชต่าง ๆ

วิตามินบี 5 : มีมากใน ปลา ถั่วต่าง ๆ และกระถิน

วิตามินบี 6 : มีมากในข้าวซ้อมมือ ปลา และเมล็ดถั่วที่เป็นฝัก

วิตามินบี 12 : มีมากในไข่ นม ปลา และผลิตภัณฑ์จากนม


สารอาหารบำรุงกล้ามเนื้อ

สารอาหารที่ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อได้แก่ โปรตีนชนิดดี ซึ่งไม่มีไขมันแทรกมากเกินไป เช่น ถั่วต่าง ๆ ไข่ นม ผลิตภัณฑ์จากนม ฯลฯ โดยมากนิยมรับประทานไข่ไก่ เพราะได้รับกรดแอมิโน ที่จำเป็นอย่างครบถ้วน และหาซื้อได้ง่าย


สารอาหารบำรุงโลหิต

ธาตุเหล็ก : มีมากในผักใบเขียว และถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ


สารอาหารบำรุงกระดูก

อาหารที่บำรุงกระดูกมีหลายชนิด และต้องรับประทาน ให้สมดุลกันจึงจะช่วยเสริมสร้าง กระดูกได้อย่างเหมาะสม

แคลเซียม : ทำให้กระดูกแข็งแรง พบในนมสด ปลาป่น กุ้งแห้ง งาดำ ปลาซาร์ดีนกระป๋อง ผักใบเขียว

ฟอสฟอรัส : ทำให้กระดูกแข็งแรง พบในไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดฟักทอง

แมกนีเซียม : ช่วยให้กระดูกดึงแคลเซียมเข้ามาเก็บสะสมไว้ พบในผักใบเขียว รำข้าว ถั่วเมล็ดแห้ง

ไลซีน : เป็นกรดแอมิโน ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม พบในยีสต์ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง แป้งถั่วเหลือง นมไขมันต่ำ และปลา

แมงกานีส : เป็นองค์ประกอบของกระดูก ช่วยไม่ให้กระดูกเสียแคลเซียมมากเกินไป พบในน้ำผลไม้ เช่น น้ำสับปะรด

วิตามินดี : ช่วยให้กระดูกสะสมแคลเซียมได้มากขึ้น มีมากในน้ำมันตับปลา นอกจากนี้แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าก็ช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์ วิตามินดีได้

การจะมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง สิ่งสำคัญคือ การรับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้เรา มีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ


ยาแก้เมาเหล้า: สารอาหาร ที่ช่วยบำรุงส่วนต่างๆ ของร่างกาย   อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://mmed.com/

7
ตื่นเช้ามาปวดหัวอย่างหนัก คอแห้งผาก คลื่นไส้ ลืมตาแทบไม่ได้ ไม่มีแรงจะลุกลงจากเตียง เพราะเมื่อคืนดื่มหนักไปไม่หน่อยเลยใช่ไหมล่ะ? เอาหน่า…ฝืนใจลุกขึ้นมาหน่อย เพราะวันนี้เรามี 9 สุดยอดอาหารแก้อาการเมาค้าง ที่รับรองว่ากินปุ๊ปสร่างเมาปั๊ปมาฝากกัน การันตีว่าได้ผลชัวร์ ไม่มั่วนิ่ม เพื่อไม่ให้เสียเวลา เลื่อนลงไปอ่านกันเลยดีกว่า!


กล้วย กีวี่ และผักโขม

ผักและผลไม้สีสันสดใสเหล่านี้อุดมไปด้วยโพแทสเซียมที่ช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำ และสารอิเล็กโทรไลต์ที่มักโดนถูกทำลายจากสารในแอลกอฮอล์ ถ้าเช้าวันต่อมาคุณขี้เกียจต้องมานั่งทำสลัด ลองโยนเจ้าพวกผักผลไม้เหล่านี้ลงไปในเครื่องปั่น ตามด้วยโยเกิร์ตลงไป ทำเป็นสมูทตี้ดื่มเย็นๆ รับรองว่าอาการเม้าค้างของคุณจะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว


ไข่

ไข่นั้นมีโปรตีนทำหน้าที่จับสารพิษในร่างกายได้เร็ว และสามารถล้างพิษซีสเทอีนทำให้ร่างกายสลายแอลกอฮอล์ได้ดีขึ้น อีกทั้งยังอุดมไปด้วยกรดอะมิโน (amino acids)  อย่างซิสเตอีน (cysteine) ที่ช่วยสลายสารแอซีแทลดีไฮด์ (acetaldehyde) ที่ก่อให้เกิดอาการปวดหัว คลื่นไส้ จากการที่ตับสกัดสารเอธานอลออกมา  และทอรีน (taurine) ที่ช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายจากการดื่มแอลกฮอลล์ และโรคตับอื่นๆ  แต่แนะนำว่าไม่ควรทานไข่ดิบ เพราะไข่ดิบอาจจะมีเชื้อแบคทีเรียจึงควรลวกก่อนทานจะดีที่สุด


ซุปมักกะโรนีไก่

คนไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นกับการกินซุปมักกะโรนีไก่สักเท่าไหร่ แต่รู้หรือไม่ว่าเจ้าซุปไก่นี่สามารถช่วยเพิ่มระดับของโซเดียมและน้ำในร่างกายหลังจากดื่มหนักมาทั้งคืน อีกทั้งเนื้อไก่และผักที่ใช้ในซุปดังกล่าวยังมีซิสเตอีน ที่ช่วยทำให้ตับมีสภาพแข็งแรงอีกด้วย


ซุปมิโซะ

ประโยชน์ของซุปมิโซะนั้นก็คล้ายๆกับซุปมักกะโรนีไก่ คือช่วยเพิ่มปริมาณโซเดียมในร่างกาย ส่วนตัวมิโซะที่นำมาละลายในน้ำทำเป็นซุปนั้นก็มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร


แครกเกอร์ หรือขนมปังทาน้ำผึ้ง

แครกเกอร์บางยี่ห้อจะมีสารกันบูดเจือปนอยู่ เพราะฉะนั้นเพื่อการกินที่ healthy ทั้งที แนะนำกินแครกเกอร์แบบโฮลวีท 100 % ไปเลยจะดีกว่า แครกเกอร์และขนมปังปิ้งเป็นคาร์บแบบอ่อนและเรียบง่าย เหมาะแก่การกินตอนเช้าแก้อาการเมาค้างเป็นที่สุด เพราะทั้งสองช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด โดยที่ไม่ไปรบกวนระบบการย่อยอาหาร ส่วนน้ำผึ้งที่ทาบนขนมปังนั้นก็เต็มไปด้วยน้ำตาลฟรุคโตสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที และช่วยเผาผลาญปริมาณแอลกอฮอล์ที่ยังตกค้างในร่างกายออกไปด้วย


ข้าวโอ๊ต

นี่คืออาหารแก้เมาค้างที่เขาว่ากันว่าได้ผลนักล่ะ เพราะโอ๊ตมีลหนึ่งถ้วยนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย อาทิวิตามิน บี แคลเซียม แมกนีเซียม และธาตุเหล็ก ข้าวโอ๊ตนั้นช่วยขับของเสียและสารพิษออกจากร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังช่วยเพิ่มปริมาณน้ำตาลในเลือด ทำให้เรารู้สึกมีพละกำลังมากขึ้นอีกด้วย


น้ำมะเขือเทศ

เมื่อคุณเมาค้างร่างกายจะขับสารที่ทำให้ของเหลวในร่างกายสมดุลออกมาเช่นโพแทสเซียม และเมื่อระดับของเหลวต่ำลงอาการปวดศีรษะ เหนื่อยและคลื่นไส้ก็จะตามมา น้ำมะเขือเทศอุดมไปด้วยสารเหล่านี้ อีกทั้งยังมีน้ำตาลฟรุคโตสและวิตามิน ซี ที่สามารถช่วยทำให้ตับแข็งแรงมากขึ้น


หน่อไม้ฝรั่ง (asparagus)

หน่อไม้ฝรั่ง หรือแอสพารากัสเป็นพืชพื้นเมืองแถบยุโรปและแอฟริกา มีทั้งชนิดที่เป็นหน่อสีเขียว และหน่อสีขาว เป็นผักที่คนนิยมเอามาทำอาหารเพราะกินอร่อย มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้หลากหลาย ซึ่งนอกจากจะกินอร่อยแล้ว หน่อไม้ฝรั่งยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารมากมายที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย คุณประโยชน์ของหน่อไม้ฝรั่งนั้นมีมากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือการแก้อาการเมาค้าง เพราะกรดอะมิโนและแร่ธาตุในสารสกัดจากหน่อไม้ฝรั่งนั้นสามารถช่วยแก้อาการเมาค้างและป้องกันเซลล์ตับจากพิษของแอลกอฮอล์ได้


ขิง

ถ้าตื่นเช้ามาคุณยังมีอาการคลื่นไส้จะอาเจียน รีบหยิบขิงมากินดิบๆหรือถ้าใจไม่เด็ดพอ นำขิงมาต้มดื่มเป็นน้ำขิงก็ได้ เพราะขิงช่วยบรรเทาอาการปวดหัวดีและคลื่นไส้ดีนักล่ะ อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการท้องผูก ท้องเฟ้อ และอาหารไม่ย่อยด้วย ใครที่รู้ตัวว่าเป็น party animal ชอบดื่มหนักเป็นประจำ ควรมีพวกเครื่องดื่มสมุนไพรติดตู้เอาไว้ที่บ้านเลย เพราะมันสามารถช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด มากไปด้วยคุณประโยชน์ มีวิตามินซี รับรองว่าดื่มเข้าไปจะช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที


9 สุดยอดอาหารแก้เมาค้าง รับรองว่ากินปุ๊ปสร่างเมาปั๊ป! อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://mmed.com/

8
เมาค้าง (Hangover) คือกลุ่มอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป โดยอาการเมาค้างอาจเกิดขึ้นเมื่อระดับแอลกอฮอล์ในเลือดลดลง ซึ่งอาจตรงกับช่วงเช้าอีกวันหลังจากที่ดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักในคืนก่อน โดยอาการเมาค้างไม่เป็นอันตราย และอาจดีขึ้นได้เมื่อเวลาผ่านไป

นอกจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากจะก่อให้เกิดอาการเมาค้างแล้ว การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากบ่อยครั้งยังอาจนำไปสู่การเสพติดแอลกอฮอล์ (Alcohol Addiction) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและความสัมพันธ์กับผู้อื่นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม หากอาการเมาค้างมีอาการรุนแรง หรือมีสัญญาณของอาการเสพติดแอลกอฮอล์ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาต่อไป


รู้จักสัญญาณของอาการเมาค้าง

เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกาย อาจทำให้ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเพิ่มขึ้นและเกิดอาการมึนเมาตามมา แต่เมื่อระดับแอลกอฮอล์ในเลือดลดลง อาจส่งผลให้เกิดอาการเมาค้างขึ้น โดยอาการเมาค้างมักเกิดขึ้นในตอนเช้าหลังการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากในตอนกลางคืน

โดยผู้ที่มีอาการเมาค้างอาจมีอาการดังนี้

    ปวดศีรษะ และกล้ามเนื้อตามร่างกาย
    คลื่นไส้ อาเจียน และปวดท้อง
    กระหายน้ำ ปากแห้ง
    ตัวสั่น อ่อนเพลียอย่างมาก
    นอนหลับไม่สนิท
    เวียนศีรษะ หรือรู้สึกว่าสิ่งรอบตัวหมุนไปมา
    ไม่มีสมาธิจดจ่อ ไวต่อแสงและเสียง
    อารมณ์ไม่มั่นคง เช่น รู้สึกซึมเศร้า กังวล หรือหงุดหงิดกวนใจ
    ชีพจรเต้นเร็ว

ทั้งนี้ หากเกิดอาการเมาค้างที่รุนแรงอาจเป็นสัญญาณของภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษ ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาอย่างเร่งด่วน โดยตัวอย่างอาการเมาค้างที่รุนแรง เช่น สับสนมึนงง อาเจียน การหายใจผิดปกติ ชัก ตัวเขียวหรือผิวซีด อุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ หมดสติและไม่ฟื้นขึ้นมา ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้



สาเหตุของอาการเมาค้าง

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการเมาค้างคือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งแอลกอฮอล์อาจส่งผลให้การทำงานของร่างกายผิดปกติและเกิดอาการเมาค้างได้ โดยปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจนำไปสู่อาการเมาค้างมีดังนี้

    ร่างกายผลิตน้ำปัสสาวะมากขึ้น แอลกอฮอล์อาจกระตุ้นร่างกายให้ผลิตน้ำปัสสาวะมาก ทำให้ผู้ดื่มต้องปัสสาวะบ่อยกว่าปกติจนอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ เช่น กระหายน้ำ เวียนศีรษะ และมึนศีรษะ
    การอักเสบของร่างกาย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิดอาจทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบ และส่งผลต่อสารสื่อประสาทที่อยู่ในสมอง ซึ่งอาจส่งผลให้ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอยากอาหารลดลง หรือรู้สึกเบื่อกิจกรรมที่ทำอยู่เป็นปกติ
    การระคายเคืองผนังกระเพาะอาหาร ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์อาจกระตุ้นการสร้างกรดในกระเพาะอาหารให้เพิ่มขึ้น รวมทั้งทำให้ย่อยอาหารได้ยาก ซึ่งส่งผลให้ผู้ดื่มมักปวดท้อง คลื่นไส้ และอาเจียน
    ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลงมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ตัวสั่น อารมณ์แปรปรวน รวมทั้งเกิดอาการชักขึ้นได้
    หลอดเลือดขยาย หากหลอดเลือดในร่างกายขยายออกอันเป็นผลจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะทำให้ผู้ดื่มรู้สึกปวดศีรษะได้
    นอนหลับไม่เพียงพอ เนื่องจากแอลกอฮอล์ส่งผลต่อสารสื่อประสาท ทำให้ผู้ดื่มอาจนอนหลับไม่สนิท หรือนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งทำให้เกิดอาการเพลีย เดินเซ และเหนื่อยล้า


ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้อาการเมาค้างรุนแรงขึ้น

เนื่องจากยีนของแต่ละคนอาจส่งผลต่อการดูดซึมแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป ผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางรายจึงอาจเกิดอาการเมาค้างอย่างรุนแรงมากกว่าผู้ดื่มรายอื่น

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการเมาค้างอย่างรุนแรงอีก เช่น

การดื่มแอลกอฮอล์ตอนท้องว่าง
การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตอนท้องว่างจะทำให้กระเพาะอาหารดูดซึมแอลกอฮอล์เข้าร่างกายได้เร็วขึ้น และทำให้เกิดอาการเมาค้างได้


การใช้สารเสพติดร่วมด้วย
การใช้ยา สารเสพติดอย่างอื่น หรือสูบบุหรี่ระหว่างดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้อาการเมาค้างแย่ลงกว่าเดิม

บุคคลในครอบครัวป่วยเป็นพิษสุราเรื้อรัง
ผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง โดยเฉพาะบุคคลนั้นมีความใกล้ชิดทางสายเลือดกับตนเองมาก อาจทำให้ผู้ดื่มเกิดอาการเมาค้างรุนแรงได้


การดื่มเครื่องดื่มสีเข้ม
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สีเข้ม เช่น เตกีลา บรั่นดี วิสกี้ เบียร์ที่มีสีเข้ม เบียร์ที่มีแอลกอฮอล์สูง และไวน์แดง มักผสมคอนจีเนอร์ (Congener) เพื่อปรุงแต่งสีและกลิ่นของเครื่องดื่มในปริมาณมาก โดยคอนจีเนอร์อาจทำให้ผู้ดื่มเกิดอาการเมาค้างอย่างรุนแรงได้มากกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สีใสอื่น ๆ เช่น เบียร์ ไวน์ขาว เหล้ายิน หรือวอดก้า

อย่างไรก็ตาม การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดสามารถทำให้ผู้ดื่มเกิดอาการเมาค้างได้หากดื่มมากเกินไป


วิธีบรรเทาอาการเมาค้างให้ดีขึ้น

หากเกิดอาการเมาค้าง สามารถดูแลตัวเองเพื่อบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นได้ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น

    จิบน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
    รับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ เช่น ยาไอบูโพรเฟน ยาแอสไพริน ควรหลีกเลี่ยงยาพาราเซตามอล เพราะการกินยาชนิดนี้ในขณะที่มีแอลกอฮอล์หลงเหลือในร่างกาย อาจเป็นอันตรายต่อตับได้
    รับประทานอาหารที่มีรสจืดและย่อยง่าย แต่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เพื่อเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด ลดอาการคลื่นไส้ และฟื้นฟูกระเพาะอาหารให้กลับมาทำงานได้ปกติ เช่น กล้วย ข้าว ขนมปัง
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยอาการเมาค้างอาจหายไปเมื่อตื่นขึ้นมา
    ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่ม เนื่องจากจะยิ่งเพิ่มปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายให้มากขึ้น และทำให้สร่างเมาช้าลงกว่าเดิม

อาการเมาค้างมักเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากดื่มแอลกอฮอล์ และอาจดีขึ้นได้เองเมื่อเวลาผ่านไป อย่างไรก็ตาม ควรรีบไปพบแพทย์ทันที หากมีสัญญาณของอาการแอลกอฮอล์เป็นพิษ หรือมีอาการเมาค้างร่วมกับปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ เพราะอาจเสี่ยงโรคภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้
แนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดอาการเมาค้าง

การดื่มถือเป็นวัฒนธรรมที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ โดยผู้คนมักดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อสังสรรค์หรือเฉลิมฉลองในโอกาสสำคัญต่าง ๆ แต่หากดื่มมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการเมาค้างในเช้าวันต่อมาได้ ซึ่งผู้ดื่มสามารถป้องกันอาการเมาค้างได้ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น

    รับประทานของกินเล่นหรืออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต หรือไขมันรองท้องก่อนและไม่ดื่มตอนท้องว่าง อาจช่วยให้ร่างกายชะลอการดูดซึมแอลกอฮอล์ได้
    งดหรือจำกัดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และไม่ควรดื่มเยอะเกินกว่าที่ร่างกายจะรับได้ เพราะการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเกินกว่าที่ร่างกายจะรับได้อาจนำไปสู่อาการเมาค้างได้
    ดื่มให้ช้าลง โดยดื่มเพียงหนึ่งแก้วหรือในปริมาณที่น้อยกว่านั้นในแต่ละชั่วโมง
    เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สีเข้ม เลือกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีสีใส เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สีเข้มมีส่วนผสมของคอนจีเนอร์มาก ส่งผลให้ผู้ดื่มเกิดอาการเมาค้างอย่างรุนแรง
    ดื่มน้ำเปล่าหนึ่งแก้วทุกครั้งหลังดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หนึ่งอึก หรือจะผสมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับเครื่องดื่มอื่น ๆ ก็อาจช่วยให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้น้อยลง ทั้งนี้ น้ำเปล่าอาจช่วยให้ผู้ดื่มไม่เกิดภาวะขาดน้ำอีกด้วย
    งดสูบบุหรี่ระหว่างดื่ม เนื่องจากอาจทำให้นอนไม่หลับ และอาจทำให้อาการเมาค้างแย่ลง




เมาค้าง รู้จักสัญญาณอาการ และวิธีแก้เมาค้างอย่างได้ผล อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://mmed.com/

9
รับออกแบบบ้าน
รับออกแบบบ้าน ตามความต้องการ
และงบประมาณ ของเจ้าของบ้าน
ฟังก์ชั่นครบ ดีไซน์สวย สร้างได้จริง
ปรับแบบได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง

รับสร้างบ้าน
รับสร้างบ้าน และควบคุมงานโดยทีมสถาปนิก-วิศวกร
ที่มีใบอนุญาต ทีมงานประสบการณ์สูง
เราเลือกใช้แต่วัสดุที่มีคุณภาพ พร้อมรับประกันความพึงพอใจ
บ้านสวย แข็งแรง ทนทาน เสร็จตรงตามเวลา
งบประมาณไม่บานปลาย
กว่า 20 ปี กับงานบริการ

บริษัทรับสร้างบ้าน และออกแบบบ้าน รับประกันคุณภาพมาตรฐานบ้านทุกหลัง


BEST BUILD DESIGN AND CONSTRUCTION
บริษัท เบสท์ บิลด์ ดีไซน์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (สำนักงานใหญ่)
148/2 ซอยปราโมทย์ ตำบลเขาสามยอด อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี 15000
โทร. 0997829415


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
Page FB : https://www.facebook.com/AiForRealEstate
เว็บไซด์ : https://luxuryhomesdesigns.com/
เบอร์โทร : 099-782-9415


10
รับผลิตชุดยูนิฟอร์มทุกประเภท
บริการจริงใจ ใส่ใจลูกค้า ราคายุติธรรม
รับผลิตและแนะนำรูปแบบชุดยูนิฟอร์มบริษัท อาทิเช่น เสื้อยืดคอกลม เสื้อยืดโปโล ชุดช็อป เสื้อแจ๊กเก็ต และ ชุดยูนิฟอร์มพนักงานในสำนักงาน โดยสามารถสั่งตัดตามไซส์ของแต่ละบุคคลได้ รวมถึงสินค้าพรีเมี่ยมต่างๆ เช่น ผ้ากันเปื้อน กระเป๋าผ้า หมวก เป็นต้น

ยูนิฟอร์ม ชุดยูนิฟอร์มพนักงาน

ยูนิฟอร์ม ชุดยูนิฟอร์มพนักงาน “ยูนิฟอร์ม” หรือ Uniform ในภาษาอังกฤษคือเสื้อผ้าหรือชุดที่พนักงานหรือกลุ่มคนบางๆ สวมใส่เพื่อแสดงตัวตนหรือตำแหน่งที่มีอยู่ เพื่อความสะดวกในการระบุและการระบายตัวเองในบริบทที่ต่างๆ ชุดยูนิฟอร์มของพนักงานมักจะมีการออกแบบเพื่อสอดคล้องกับลักษณะงานและศิลปะแบรนด์ขององค์กรหรือธุรกิจที่ต่างกันไปได้ เช่น ชุดยูนิฟอร์มของพนักงานโรงแรมจะแตกต่างกับชุดยูนิฟอร์มของพนักงานในโรงงานผลิตสินค้า หรือพนักงานบริการในร้านค้า
การออกแบบชุดยูนิฟอร์มมักเน้นความสะดวกสบายในการใช้งานร่วมกับการสื่อสารและการติดต่อระหว่างพนักงานและลูกค้า การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมและการออกแบบที่สวยงาม เป็นต้น
การตัดต่อยูนิฟอร์มขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจหรือกิจการ การให้ความสำคัญกับความสะอาดและการบำรุงรักษาก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการรักษาคุณภาพของยูนิฟอร์มให้ดูดีและสวยงามตลอดเวลาในการใช้งานประจำวันของพนักงานทุกคนในองค์กรหรือธุรกิจนั้นๆ
ยูนิฟอร์ม (Uniform) เป็นชุดเครื่องแบบที่พนักงานสวมใส่เพื่อแสดงตัวตนและตำแหน่งของพวกเขาในองค์กรหรือธุรกิจ เขาแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์และความเชื่อมโยงของพนักงานกับบริษัทหรือองค์กรนั้น ๆ
ชุดยูนิฟอร์มของพนักงานสามารถแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมและบริษัท ยกตัวอย่างเช่น:
ในโรงแรม พนักงานบริการอาจมีชุดยูนิฟอร์มที่ประกอบไปด้วยเสื้อโปโลและกางเกงขายาวหรือกระโปรง
ในธุรกิจทางการแพทย์ พวกเขาอาจสวมเสื้อคลุมเพื่อป้องกันและอุ่นใจให้กับผู้ป่วยและลูกค้า
ในธุรกิจแห่งการบิน พนักงานสายการบินอาจมีชุดยูนิฟอร์มที่รวมถึงเครื่องแต่งกายสมบูรณ์ รวมถึงเครื่องประดับและเครื่องแต่งกายพิเศษเพื่อเน้นความสวยงามและความเรียบร้อย
ชุดยูนิฟอร์มมักจะถูกออกแบบเพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ของบริษัทหรือองค์กร และมักจะมีการกำหนดเอกลักษณ์ที่ชัดเจนเพื่อให้ลูกค้าหรือผู้บริโภคสามารถระบุและรู้จักพนักงานได้ง่ายขึ้นด้วยการมองเห็นชุดยูนิฟอร์มที่สวมใส่และการปฏิสัมพันธ์กับพนักงานในตำแหน่งต่าง ๆ ในองค์กรนั้น ๆ อย่างมั่นใจได้ในการตอบสนองและบริการลูกค้าในทางที่เหมาะสมและมีคุณภาพ

ทางบริษัทจัดนำเสนอข้อมูลให้กับลูกค้าอย่างละเอียด จนลูกค้าเข้าใจและสามารถเลือกใช้วัตถุดิบได้เหมาะสมกับการใช้งานได้อย่างคุ้มค่า คุ้มราคา และพึงพอใจ ตามที่ลูกค้าต้องการ
สนใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Line ID : uniform
โทร      : 02-583-7598
E-mail  : casuniform@yahoo.com
เว็บไซด์: https://uniformdeluxe.com/


หน้า: [1] 2 3 ... 63
Tage : ลงโฆษณาฟรี ลงประกาศฟรี ติดอันดับ Google , ประกาศฟรีไม่มี หมดอายุ , ฝากร้านฟรี , ประกาศขายของฟรี ติด google , ลงประกาศฟรี 100 , ลงประกาศฟรี Post ฟรี , ลงประกาศฟรีไม่ต้องสมัคร , เว็บประกาศฟรีติดอันดับ , ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ , ฝากร้านฟรีโพสฟรี , รวมเว็บลงประกาศฟรี , ลงประกาศฟรี ติดอันดับ google , ลงประกาศฟรีออนไลน์ , เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ , ลงประกาศฟรี pantip , ลงประกาศฟรี , โพสฟรี โปรโมทฟรี โฆษณาสินค้าฟรี ลงประกาศฟรี โพสฟรี โพสประกาศฟรี ลงประกาศขายฟรี ลงประกาศฟรี ลงโฆษณาฟรี โฆษณาสินค้าฟรี , เว็บลงประกาศขายฟรี ลงประกาศฟรี ติดอันดับ Google ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด เว็บลงประกาศขายฟรี โพสประกาศฟรี ติด google ลงประกาศขายบ้านฟรี ลงประกาศขายรถฟรี โพสฟรี โฆษณาสินค้าฟรี ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซต์ฟรี ลงโฆษณาฟรี google ลงประกาศสินค้าฟรี ลงโฆษณาฟรี เว็บลงประกาศขายฟรี ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซต์ฟรี ติด google ฝากขายฟรี ลงประกาศสินค้าฟรี , รวมเว็บลงประกาศฟรี ติด google