แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: 1 ... 72 73 [74] 75 76 ... 81
731
เยื่อหุ้มสมองอักเสบแบ่งออกได้หลายชนิด ซึ่งมีสาเหตุและความรุนแรงแตกต่างกันไป เช่น

1. เยื่อหุ้มสมองอักเสบเฉียบพลันชนิดมีหนอง (acute purulent meningitis) อาจเกิดจากเชื้อนิวโมค็อกคัส (pneumococcus) สเตรปโตค็อกคัส (streptococcus) อีโคไล (E. coli) เมนิงโกค็อกคัส (meningococcus) สแตฟีโลค็อกคัส (staphylococcus) เคล็บซิลลา (klebsiella) ฮีโมฟิลุสอินฟลูเอนเซ (Hemophilus influenzae) เป็นต้น ซึ่งมักจะมีอาการเกิดขึ้นฉับพลันทันที และมีความรุนแรง อาจเป็นอันตรายในเวลาอันรวดเร็ว

เชื้อโรคอาจแพร่กระจายจากแหล่งติดเชื้อที่ส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย (เช่น ปอดอักเสบ กระดูกอักเสบเป็นหนอง คออักเสบ ฝีที่ผิวหนัง โรคติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ) ผ่านกระแสเลือดไปที่เยื่อหุ้มสมอง

หรือไม่เชื้อก็อาจลุกลามโดยตรง เช่น ผู้ป่วยหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง ไซนัสอักเสบ อาจมีเชื้อโรคจากบริเวณดังกล่าวลุกลามไปถึงเยื่อหุ้มสมองโดยตรงหรือผู้ป่วยที่มีกะโหลกศีรษะแตก อาจมีเชื้อโรคลุกลามจากภายนอก เป็นต้น

2. เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากวัณโรค (tuberculous meningitis) เกิดจากเชื้อวัณโรค ซึ่งมักจะแพร่กระจายจากปอดหรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกายไปที่เยื่อหุ้มสมองโดยผ่านทางกระแสเลือด โรคนี้มักจะมีอาการค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ อาจกินเวลาเป็นสัปดาห์ แต่ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์เมื่อมีอาการรุนแรง จึงทำให้มีอัตราตายหรือพิการค่อนข้างสูง พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ พบมากในเด็กอายุ 1-5 ปี

3. เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส (viral meningitis) อาจเกิดจากเชื้อคางทูม เชื้อไวรัสเอนเทอโร (enterovirus) เชื้อค็อกแซกกี (coxsackie virus) ไวรัสเฮอร์ปีส์ (herpesvirus) เชื้อเอชไอวี เป็นต้น เชื้อโรคมักแพร่กระจายผ่านทางกระแสเลือด ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อหุ้มสมอง และบางกรณีอาจมีการอักเสบของเนื้อสมองร่วมด้วย

4. เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา ที่พบบ่อยในบ้านเรามีสาเหตุจากเชื้อคริปโตค็อกคัส (cryptococcus) ซึ่งพบในอุจจาระของนกพิราบ ไก่ และตามดิน เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจเข้าทางปอด ผ่านกระแสเลือดไปที่เยื่อหุ้มสมอง อาการจะค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ เช่นเดียวกับเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากวัณโรค มักพบในผู้สูงอายุและผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอเนื่องจากเป็นโรคเอดส์ มะเร็ง โรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน เอสแอลอี ไตวาย ตับแข็ง เป็นต้น) หรือมีประวัติกินยาสตีรอยด์ หรือยากดภูมิคุ้มกันมานาน ส่วนในเด็กพบได้น้อยมาก เป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรงชนิดหนึ่ง เยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดนี้ มีชื่อเรียกว่า เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อคริปโตค็อกคัส (cryptococcal meningitis)

5. เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากพยาธิ (eosinophilic meningitis) ที่พบบ่อยในบ้านเรา ได้แก่ ตัวจี๊ด และพยาธิแองจิโอ (Angiostrongylus canthonensis) โรคนี้อาจมีความรุนแรงมากน้อยแล้วแต่ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในสมอง ถ้ามีเลือดคั่งในสมองหรือสมองส่วนสำคัญถูกทำลายก็อาจทำให้ตายหรือพิการได้ ถ้าเป็นไม่รุนแรงจะหายได้เอง

พยาธิแองจิโอ พบมากทางภาคกลางและภาคอีสาน เป็นพยาธิที่มีอยู่ในหอยโข่ง ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีประวัติกินหอยโข่งดิบก่อนมีอาการประมาณ 1-2 เดือน พยาธิเข้าไปในกระเพาะสำไส้และไชเข้าสู่กระแสเลือดแล้วขึ้นไปที่สมอง โรคนี้มักพบในตอนปลายฤดูฝน เพราะเป็นช่วงที่หอยโข่งตัวโตเต็มที่ ซึ่งชาวบ้านจะจับกิน

6. เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้ออะมีบา (primary amebic meningoencephalitis) เกิดจากเชื้ออะมีบาที่มีชื่อว่า Naegleria fowleri ซึ่งอาศัยอยู่ในบ่อน้ำหรือที่มีน้ำไหลช้า ๆ หรือที่เป็นดินโคลน เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางจมูกโดยการเล่นน้ำในบึง คู คลอง หรือสระน้ำที่มีเชื้ออยู่ หรือถูกน้ำสาดเข้าจมูก หรือสูดน้ำเข้าจมูก ตัวอะมีบาจะไชผ่านเยื่อบุของจมูก และเส้นประสาทการรู้กลิ่น (olfactory nerve) เข้าบริเวณฐานสมอง แล้วแพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของสมองและเยื่อหุ้มสมอง ระยะฟักตัว 3-7 วัน (อาจนานถึง 2 สัปดาห์) โรคนี้มีความร้ายแรง ซึ่งส่วนใหญ่จะเสียชีวิต

7. เยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไทฟอยด์ สครับไทฟัส เล็ปโตสไปโรซิส ซิฟิลิส เมลิออยโดซิส บรูเซลโลซิส เป็นต้น

8. อื่น ๆ เช่น เอสแอลอี มะเร็งบางชนิด ผลข้างเคียงจากยา (เช่น ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ โคไตรม็อกซาโซล เพนิซิลลิน ไซโพรฟล็อกซาซิน อัลโลพูรินอล เมโทเทรกเซต เป็นต้น ซึ่งมักเกิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิต้านตนเอง และหลังหยุดยาโรคก็จะทุเลาไปเอง)



ข้อมูลสุขภาพ: เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://doctorathome.com/expert-scoops

732
ไม่ใช่เพียงแต่กินให้น้อยลง และออกกำลังกายเท่านั้น หากคุณอยากลดน้ำหนักอย่างได้ผล และรวดเร็ว ยังมีเคล็ดลับเพิ่มเติมที่อยากแนะนำให่ได้ลองทำควบคู่กันไปด้วย


หลายคนอาจคิดว่า การลดน้ำหนัก หรือลดความอ้วน ทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่กินอาหารให้น้อยลง และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่จริง ๆ แล้วยังมีเคล็ดลับเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ที่จะช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น (อีกนิด) และเห็นผลได้ไวขึ้น


เคล็ดลับ “ลดน้ำหนัก” ที่คุณอาจไม่รู้

       
1.     ลดกินเค็ม

        ถึงแม้ว่าจะกินอาหารน้อยลงแล้ว แต่หากยังกินอาหารรสจัด โดยเฉพาะรสเค็มอยู่ ก็ยังเสี่ยงน้ำหนักลงยากขึ้น เพราะโซเดียมทำให้ตัวบวม โซเดียมที่สะสมอยู่ในร่างกายมากเกินความจำเป็นในปริมาณ 400 มิลลิกรัม ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 1 กิโลกรัมได้เลยทีเดียว ดังนั้นใครที่ตั้งใจจะลดน้ำหนักด้วยการรับประทานส้มตำปูปลาร้า ยำต่าง ๆ โปรดระวังการปรุงรสด้วย อย่าปรุงรสจัดจนเกินไป                 
        นอกจากนี้ การรับประทานรสเค็มมาก ๆ ยังเป็นการเพิ่มระดับเกรลิน (ฮอร์โมนหิว) จึงอาจทำให้เรายิ่งเจริญอาหารมากกว่าเดิมได้อีกด้วย
        อยากจะแนะนำให้ลดการปรุงรสอาหาร ไม่ใช่แค่รสเค็ม รวมถึงรสหวาน (น้ำตาล) และมัน (จากไขมันไม่ดี) ด้วย

       
2.     เน้นโปรตีนดี ไขมันดี แป้งเชิงซ้อน และใยอาหารสูง

        ช่วงลดน้ำหนัก นอกจากจะจำกัดปริมาณอาหารที่รับประทานแล้ว ควรเน้นไปที่อาหารประเภทโปรตีนดี (ไขมันจากสัตว์น้อย เช่น อกไก่ ไข่ขาว เนื้อปลาเลาะหนัง ถั่วต่าง ๆ) ไขมันดี (น้ำมันมะกอก อะโวคาโด) แป้งเชิงซ้อน (ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท) และใยอาหารสูง (ธัญพืชต่าง ๆ ผักผลไม้สด ไม่คั้นแยกกาก) และอย่าลืมว่าต้องกินให้ครบ 5 หมู่ทุกมื้อ

       
3.     รับประทานอาหารให้เป็นเวลา

        อยากให้ลืมเรื่องการแบ่งมื้ออาหารออกเป็นหลาย ๆ มื้อเพื่อให้ท้องอิ่มอยู่ตลอดเวลาไปก่อน เพราะจริง ๆ แล้วการปล่อยให้ร่างกายเข้าสู่โหมด fasting หรืออดอาหารบ้าง จะส่งผลดีต่อร่างกายได้มากกว่า รวมถึงช่วงที่ลดน้ำหนักด้วย เพราะฉะนั้นการรับประทานให้ตรงเวลา ไม่มีมื้อย่อย มื้อของว่าง มื้อสาย หรือมื้อดึก จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้ดีขึ้นมากกว่า

       
4.     ออกกำลังกายทั้งคาร์ดิโอ และเวทเทรนนิ่ง

        หลายคนที่กำลังลดน้ำหนักอาจจะวิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือเต้นแอโรบิคเป็นบ้าเป็นหลัง ซึ่งเป็นการเผาผลาญพลังงานส่วนเกินของร่างกายออกไปอย่างได้ผล แต่อันที่จริงแล้วหากอยากออกกำลังกายด้วยคาร์ดิโออย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น แม้จะใช้เวลาเท่าเดิม จะต้องออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งควบคู่กันไปด้วย เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง สามารถคาร์ดิโอได้ดียิ่งขึ้น เช่น กล้ามเนื้อขาแข็งแรง หัวใจแข็งแรง ก็จะสามารถวิ่งได้นานขึ้น ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือแอโรบิคได้นานขึ้นนั่นเอง


สิ่งสำคัญที่สุดของการลดน้ำหนัก คือ การมีวินัยในตัวเอง ทำให้ได้แบบเดิมเรื่อย ๆ นาน ๆ ไม่ใจอ่อนเผลอกินอาหารพลังงานสูง หรืองดเว้นจากการออกกำลังกายไปนาน ๆ และต้องให้เวลากับการลดน้ำหนัก อย่าใจร้อน ไม่ควรน้ำหนักลดเกิน 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ และไม่เกิน 4 กิโลกรัมต่อเดือน เพราะหากน้ำหนักลดลงรวดเร็วเกินไป จะส่งผลเสียต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย และยังมีความเสี่ยงที่น้ำหนักจะกลับมาเท่าเดิม หรือมากกว่าเดิม เพราะการเผาผลาญพลังงานในร่างกายเปลี่ยนไปได้อีกด้วย


เคล็ดลับ “ลดน้ำหนัก” ที่ไม่ใช่แค่ “กินน้อยลง-ออกกำลังกาย” ถึงจะเห็นผล อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.healthyhitech.net/

733
ห่างหายจากเมนูสุขภาพไปเสียนาน กลับมาครั้งนี้ต้องจัดเต็มให้สายเฮลท์ตี้กันเสียหน่อยด้วย 5 เมนูควินัว ทำง่ายได้สุขภาพ

1. ควินัว ทาบูเล่


เริ่มต้นกันที่สลัดควินัว ที่ได้รสเปรี้ยวจากมะเขือเทศลูกเล็ก คลุกเคล้ากับสมุนไพรอย่างพาร์สลีย์ และใบมินต์

ส่วนผสม

    ควินัว 1 ถ้วย
    เกลือทะเล ½ ช้อนชา
    น้ำ 1 ¼ ถ้วย
    แตงกวาญี่ปุ่น ½ ถ้วย
    มะเขือเทศลูกเล็ก หั่นแว่น 1 ถ้วย
    พาร์สลีย์สับละเอียด ¾ ถ้วย
    ใบสะระแหน่สับ  ½ ถ้วย
    กระเทียมสับหยาบ 1 ½ ช้อนโต๊ะ
    น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
    เกลือ พริกไทย อย่างละเล็กน้อย

วิธีทำ

    ล้างควินัวให้สะอาด ใส่หม้อ ใส่เกลือ และน้ำ นำขึ้นตั้งไฟค่อนข้างแรง พอเดือดหรี่ไฟลง ปิดฝา คนเป็นระยะ พอน้ำแห้ง ปิดฝาไว้ประมาณ 10 นาที แล้วนำมาใส่ถาด ใช้ส้อมเกลี่ย และพักไว้ให้หายร้อน
    ผสมน้ำมันมะกอก กระเทียม เกลือ พริกไทย ตีให้เข้ากัน พักไว้
    ในชามผสมใส่ควินัวหุงสุกประมาณ 1½ ถ้วย ใส่แตงกวา มะเขือเทศ พาร์สลีย์ ใบสะระแหน่ ใส่น้ำสลัด คลุกให้เข้ากัน ชิมรส รับประทานทันที


2. ควินัวสลัดกับแซลมอนรมควัน


สลัดควินัวที่สายสุขภาพชอบอีกเช่นเคย แต่เพิ่มโปรตีนด้วยแซลมอนรมควันเนื้อสด และไขมันจากชีสเชดดาร์

ส่วนผสม (สำหรับ 2-4 ที่)

    ควินัว 1 ถ้วย
    ชิกพีกระป๋อง 1/2 ถ้วย
    แอปเปิลแดงหั่นชิ้นเล็ก 1 ผล
    ชีสเชดดาร์หั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1 ถ้วย
    ผักสลัดร็อกเก็ตป่า 1-2 ถ้วย
    แซลมอนรมควันฉีกเป็นชิ้นเล็ก 200 กรัม
    แครกเกอร์ตามชอบ

ส่วนผสมน้ำสลัด

    น้ำมันสลัด 2 ช้อนโต๊ะ
    น้ำส้มสายชูหมักจากไวน์ขาว 1 ช้อนโต๊ะ
    หอมแดงสับ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
    น้ำผึ้งมานูก้า  1 ช้อนชา
    เกลือป่นและพริกไทยป่นอย่างละเล็กน้อย

วิธีทำ

    ต้มน้ำเปล่า 11/2 ถ้วยให้เดือด ใส่ควินัวลงต้ม ลดไฟให้อ่อนลง ปิดฝา ประมาณ 15 นาที (คน 2-3 ครั้ง) จนน้ำงวดและควินัวสุก ปิดไฟ ปิดฝาหม้อไว้ให้ระอุ พักไว้
    ผสมส่วนผสมน้ำสลัดทั้งหมดให้เข้ากัน ชิมรส พักไว้
    ผสมชิกพี แอปเปิล ชีสเชดดาร์ ผักร็อกเก็ตป่า ควินัว และแซลมอน ราดน้ำสลัด เคล้าเบาๆ ให้เข้ากัน ตักใส่จาน เสิร์ฟพร้อมแครกเกอร์


3. สลัดควินัวกับกุ้งย่าง

ใช้ควินัวทั้งขาวและแดงหุงสุกนำมาทำสลัด จะเป็นมื้อหลักหรือเมนูเรียกน้ำย่อยก็ได้

ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่)

    ควินัวสีขาวและสีแดงอย่างละ 1 ถ้วย
    น้ำ  2-1/2  ถ้วย
    เกลือป่น  1/2  ช้อนชา

ส่วนผสมสลัด

    กุ้ง  8  ตัว
    มะเขือเทศเชอร์รีหั่นแว่น  5  ผล
    เซเลรีหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1/2 ถ้วย
    อิตาเลียนพาร์สลีย์สับ 1   ช้อนโต๊ะ
    เลมอนหั่นเสี้ยว 2-4  ชิ้น
    ไทม์แห้ง เกลือป่น พริกไทยป่น และน้ำมันมะกอกเล็กน้อย

ส่วนผสมน้ำสลัด

    น้ำเลมอน  2-1/2 ช้อนโต๊ะ
    น้ำมันมะกอก 3 ช้อนโต๊ะ
    น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
    ไข่แดงต้มสุกยีผ่านที่ขูดให้เป็นเม็ดละเอียด 2  ฟอง
    เกลือเล็กน้อย

วิธีทำ

    หุงควินัวโดยหุงคนละสีแยกกัน (ควินัว 1 ถ้วย : น้ำ 1 1/4 ถ้วย) พอสุกเทใส่ถาด เกลี่ยให้เมล็ดร่วน พักไว้ให้เย็น
    หมักกุ้งกับไทม์ เกลือ พริกไทย และน้ำมันมะกอกไว้สักครู่ ย่างบนกระทะให้สุก
    ผสมน้ำสลัด ใส่ไข่แดง คนให้เข้ากัน
    ตักควินัวทั้ง 2 สีใส่ในชามสลัด ใส่มะเขือเทศ เซเลรี พาร์สลีย์ และน้ำสลัด คลุกให้เข้ากัน ตักใส่จาน วางกุ้งให้สวยงาม เสิร์ฟพร้อมเลมอนหั่นเสี้ยว รับประทานทันที


4. ควินัวไทรเฟิล

นำควินัวมาทำของหวานฟินๆ ก็ได้เช่นกัน ได้รสหอมมันจากนมมะพร้าว และความหวานจากผลไม้ และน้ำตาลทรายแดง

ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่)

    ควินัว  1  ถ้วย
    น้ำเปล่า  1-1/4  ถ้วย
    พีชขาวหั่นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก 1  ถ้วย       
    สตรอว์เบอร์รีหั่นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก 2 ถ้วย                                       
    อัลมอนด์อบสับหยาบตามชอบ

ส่วนผสมคัสตาร์ดนมมะพร้าว

    นมมะพร้าว 1-1/4  ถ้วย
    ไข่แดง 2  ฟอง
    น้ำตาลทราย 38  กรัม
    แป้งข้าวโพด  1 ช้อนโต๊ะ
    น้ำเปล่า 1  ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

    วิธีหุงควินัว ล้างควินัวโดยใส่กระชอนเปิดน้ำให้ไหลผ่านสักครู่ พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ ต้มน้ำให้เดือด ใส่เกลือ ใส่ควินัว ต้มไฟอ่อน ปิดฝา จนน้ำแห้งประมาณ 20 นาที ยกลง ปิดฝา พักไว้ 5 นาที เทใส่ถาด เกลี่ยให้เมล็ดร่วน พักไว้ให้เย็น
    ทำคัสตาร์ดโดยต้มนมมะพร้าวด้วยไฟปานกลางให้พอเดือด ปิดไฟ พักไว้ ตีไข่แดงกับน้ำตาลด้วยตะกร้อมือหรือไฟฟ้าจนฟู ค่อยๆ เทนมอุ่นใส่ เทใส่หม้อ ยกขึ้นตั้งไฟ ต้มและใช้ตะกร้อมือคนจนข้น ใส่แป้งข้าวโพดละลายน้ำ คนจนเข้ากัน ปิดไฟ
    ใส่ควินัวและผลไม้สลับชั้นกัน ราดคัสตาร์ดและโรยอัลมอนด์สับ


5. สลัดแตงโมควินัว

ใช้ผลไม้ฤดูร้อนอย่าง แตงโม รสหวานฉ่ำ มาผสมผสานกับควินัวมากประโยชน์

ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่)

    แตงโมหั่นชิ้นสี่เหลี่ยม 2 1/2 ถ้วย
    แตงกวาญี่ปุ่นหั่นชิ้นสี่เหลี่ยม 1 ถ้วย
    เนื้อปูนึ่ง 200 กรัม
    ควินัว ใบมินต์ และไพน์นัตอบสำหรับเสิร์ฟ

ส่วนผสมน้ำสลัด

    น้ำเลมอน 1 ช้อนโต๊ะ
    แอปเปิลไซเดอร์ 1 ช้อนโต๊ะ
    น้ำมันสลัด 3 ช้อนโต๊ะ
    อิตาเลียนซีซันนิ่ง 1/4 ช้อนชา
    เกลือทะเลและพริกไทยป่น

วิธีทำ

    จัดแตงโมใส่จาน วางแตงกวาญี่ปุ่น ใบมินต์ ควินัว โรยไพน์นัตและเนื้อปู แช่เย็นพักไว้
    ผสมน้ำสลัดตามสูตร ราดบนแตงโมและเสิร์ฟทันที


6. ไก่ย่างโรสแมรี่และข้าวไรซ์เบอร์รีควินัว

อกไก่จี่ในกระทะร้อนๆ ความสุกกำลังดี หอมกลิ่นสมุนไพร เสิร์ฟเคียงควินัวและผักสด

ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่)

    อกไก่ 2 อก
    โรสแมรี่สด 2 กิ่ง
    เกลือทะเลและพริกไทยดำบดหยาบอย่างละ 1/4 ช้อนชา
    น้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา
    บรอกโคลีหั่นชิ้นพอดีคำนึ่ง ฟักทองนึ่ง มะเขือเทศเชอร์รี และน้ำมันมะกอกปริมาณตามชอบ
    ข้าวไรซ์เบอร์รีผสมกับควินัวปริมาณตามชอบ

วิธีทำ

    สไลซ์อกไก่ตามยาวแบ่งครึ่งเป็นชิ้นบาง หมักกับโรสแมรี่ เกลือ พริกไทย และน้ำมันมะกอก พักไว้ 1 ชั่วโมง
    ตั้งกระทะสำหรับย่างให้ร้อน ใส่น้ำมันมะกอกเล็กน้อย ย่างไก่จนสุกสีสวย พักไว้
    เคล้าบรอกโคลี ฟักทอง และมะเขือเทศเชอร์รีกับน้ำมันมะกอก
    เสิร์ฟอกไก่ย่างกับข้าวไรซ์เบอร์รี ควินัว และผักนึ่ง


มัดรวมคนรักสุขภาพด้วยอาหารสุขภาพ 6 เมนูควินัว อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://thetastefood.com/

734
เชื่อได้ว่า ท่านใดที่ได้ติดตามเว็บไซต์ “บ้านไอเดีย” มาเนิ่นนาน อาจได้แบบบ้านในดวงใจกันไปบ้างแล้ว หรือหากยังไม่ได้รูปแบบที่ถูกใจ ก็ย่อมได้ไอเดียใดๆ ไว้ประยุกต์ใช้กันไปบ้าง นำไอเดียต่างๆ มารวบรวมเป็นแบบของตนเอง ซึ่งมีจุดเด่น เอกลักษณ์และความต้องการที่ไม่เหมือนใคร สิ่งนี้ เป็นหัวใจสำคัญที่จะสามารถนำข้อมูลจากเว็บไซต์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

แบบบ้านสองชั้น ไทยโมเดิร์น

ในการออกแบบบ้าน สิ่งพื้นฐานที่ควรคำนึงเป็นหลัก นั่นคืองบประมาณในการก่อสร้าง สิ่งนี้ควรเป็นสิ่งแรก ที่ควรให้ความสำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดภาระด้านหนี้สินจนมากเกินตัว มิเช่นนั้นอาจส่งผลเสียในด้านความเป็นอยู่ในอนาคตได้ เมื่อประเมินงบของตนเองได้แล้ว อาจทั้งเงินสดที่มีอยู่ และเงินที่ต้องกู้เพิ่มเติม ส่วนต่อมานั่นคือความต้องการของผู้ใช้ จำนวนสมาชิก การจัดแบ่งห้อง เช่น ต้องการห้องนอนและห้องน้ำกี่ห้อง รวมถึงห้องอื่นๆ ที่ต้องการให้มี เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องอ่านหนังสือ ห้องดูทีวี ซึ่งแต่ละบ้าน ย่อมมีความต้องการที่แตกต่างกันออกไป บางท่านอาจชอบดูหนัง ก็อาจออกแบบห้องโฮมเธียเตอร์ไว้เป็นสำคัญ บางท่านอาจชอบอ่านหนังสือ ก็ได้จัดสรรโซนห้อง ในทิศทางที่เหมาะสม


ตกแต่งบ้าน สไตล์โมเดิร์น

สองสิ่งที่กล่าวมานั้น เป็นส่วนสำคัญในการเริ่มต้นออกแบบบ้าน เมื่อทราบทั้งสองสิ่งแล้ว ถัดไปก็ขึ้นอยู่กับว่า สไตล์ไหน ในแบบฉบับของเราเอง อาจเป็นโมเดิร์น วินเทจ เรือนไทย คันทรี่ บ้านไม้ บ้านปูน ก็ขึ้นอยู่กับความชอบ ซึ่งเป็นส่วนประกอบด้านจิตใจ รายละเอียดปลีกย่อย จะนำมาฝากให้อ่านกันในบทความถัดไป ในแบบฉบับ บ้านไอเดีย สำหรับวันนี้ ดูการออกแบบบ้านตัวอย่าง บ้านสองชั้นสไตล์โมเดิร์นกันก่อนนะครับ

ออกแบบห้องครัว Kitchen Decor

บ้านหลังนี้ขนาด 2 ชั้น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 474 ตารางเมตร หน้ากว้าง 15.6 เมตร งบประมาณก่อสร้างประมาณการไว้ที่  5 ล้านบาท ไม่รวมเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งภายใน



ออกแบบบ้านสองชั้น โมเดิร์น 4 ห้องนอน อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://luxuryhomesdesigns.com/

735
บางคนที่กำลังคิดอยากเดินเข้าสู่อาชีพสาย พ่อครัว หรือกุ๊ก มาเรียนรู้การทำงานของเค้าดีกว่า ว่ากุ๊กทำงานอะไรบ้าง?

กุ๊ก (Cook) หรือที่ในต่างประเทศบางครั้งนิยมเรียกว่า Chef นั้นเป็นผู้ปรุงอาหาร ต้องใส่เสื้อเชฟ เสื้อกุ๊ก หรือเสื้อพ่อครัวแสดงให้เห็นถึงความสามารถ  กุ๊กต่าง ๆ จะต้องสวมใส่เสื้อเชฟ เสื้อกุ๊ก หรือเสื้อพ่อครัว หรือยูนิฟอร์ม ที่สะอาดเรียบร้อย และรัดกุม  สวมผ้ากันเปื้อน และสวมหมวกกุ๊ก จะต้องเตรียมส่วนประกอบของอาหารหรือเครื่องปรุงต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้าก่อนที่ลูกค้าจะมาสั่ง เพื่อว่าเมื่อถึงเวลาจะได้ลงมือปรุงอาหารได้ทันเวลา การเตรียมการดังกล่าว ได้แก่ การหั่นผัก การเตรียมผักชี ใบมะกอก หรือผักอื่น ๆ ที่ใช้สำหรับตกแต่งอาหารให้ดูน่ารับประทานขึ้น (Gamishes) ผักสลัด อาหารจำพวกที่ต้องต้มเปื่อย (Stews) เช่น เนื้อต้ม มันเทศหรือหัวหอมต้มเปื่อย ขนมเค็ก ขนมพุดดิ้ง (pudding) คือขนมที่ทำด้วยแป้งต้ม ยัดไส้ด้วยผลไม้ หรือของดองไว้ข้างใน ซ้อส และน้ำซุปต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ อาหารตามเมนูบางรายการก็สามารถทำไว้ล่วงหน้าด้วย โดยเฉพาะในสมัยนี้ซึ่งมีอุปกรณ์ทันสมัย อย่างไมโครเวฟที่สามารถอุ่นอาหารได้อย่างทันใจ แต่งกายในเสื้อเชฟ เสื้อกุ๊ก หรือเสื้อพ่อครัว หรือยูนิฟอร์ม ที่สะอาดเรียบร้อย และรัดกุม  สวมผ้ากันเปื้อน และสวมหมวกุ๊ก สะท้อนถึงคุณภาพอาหาร อย่างไรก็ดี ก็มีอาหารบางอย่างที่ถ้าทำไว้ล่วงหน้าจะเสีย หรือหมดคุณค่าทางโภชนการหรือถ้าเก็บไว้ในที่ร้อน/อบ ก็จะขึ้นรา

หน้าที่งานของพนักงานแต่ละตำแหน่งในครัวจะเป็นดังนี้

1. กุ๊กใหญ่หรือหัวหน้าแผนกครัว (Head Chef or Executive Chef)

บุคคลที่ทำงานในตำแหน่งนี้ไม่ค่อยได้ลงมือทำอาหารเอง ในช่วงมื้ออาหารสำคัญ ๆ เช่น มื้อเที่ยงหรือมื้อเย็น กุ๊กใหญ่ แต่งกายในเสื้อเชฟ เสื้อกุ๊ก หรือเสื้อพ่อครัว หรือยูนิฟอร์ม ที่สะอาดเรียบร้อย และรัดกุม  อาจไม่จำเป็นต้องสวมผ้ากันเปื้อน และสวมหมวกุ๊ก จะคอยดูแลควบคุมใบสั่งอาหารที่ส่งเข้ามา แผนกบริการซึ่งรับคำสั่งจากลูกค้าอีกต่อหนึ่ง แล้วตะโกนบอกรายละเอียดไปที่หน่วยต่าง ๆ ในครัว (ในโรงแรมใหญ่ ๆ ที่ทันสมัยในปัจจุบัน จะใช้ระบบสั่งอาหาร ทางคอมพิวเตอร์จากแผนกบริการไปที่ครัวเลยทีเดียว) จัดการงานด้านเอกสาร สั่งอาหารสด อาหารแห้ง และเครื่องปรุงต่าง ๆ ออกเมนู (รายการอาหาร) จัดตารางเวลาและหน้าที่งานสำหรับพนักงานแต่ละคน และดูแลควบคุมการทำงานของพนักงานทั้งหลายในครัว กล่าวโดยสรุปก็คือ ดูแลให้แผนกครัวดำเนินงาน ไปโดยราบรื่นนั่นเอง

หน้าที่คนทำครัว   นอกจากนี้ หัวหน้าแผนกครัวที่ดีจะต้องคอยตรวจสอบไม่ให้พนักงานใช้ของ แบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ที่ก่อให้เกิดการสูญเปล่าโดยใช่เหตุ ดูแลให้ห้องครัวอยู่ในสภาพ ที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ และอาหารที่ทำออกมามีคุณภาพและมาตรฐานสูง ความรับผิดชอบสำคัญประการหนึ่งของหน้าหน้าแผนกครัว ได้แก่ การฝึกอบรมพนักงาน โดยเฉพาะในภาวะที่ขาดแคลนบุคคลากรโรงแรมอย่างทุกวันนี้ที่มีคนเข้าออกมาก หัวหน้าแผนกจึงจำเป็นต้องเป็นครูที่ดีและสนใจเรื่องการสอนงานลูกน้อง มิฉะนั้น ตัวเองจะเหน็ดเหนื่อยมาก เพราะกุ๊กที่เป็นงานมักจะถูกดึงไปทำงานในโรงแรมอื่นด้วยข้อเสนอด้านค่าจ้างที่สูงกว่าอยู่ตลอดเวลา ความเป็นครูกับลูกศิษย์จะช่วยรักษา กุ๊กไว้ให้ทำงานอยู่กับตนเองไปได้อย่างน้อยชั่วระยะเวลาหนึ่ง


2. รองกุ๊กใหญ่หรือรองหัวหน้าแผนกครัว ( Second Chef or Sous Chef)

หน้าที่ก็เป็นไปตามชื่อตำแหน่ง คือ ช่วยกุ๊กใหญ่ในงานด้านต่าง ๆ หรือรักษาการ แทนเมื่อกุ๊กใหญ่ไม่อยู่ งานหลัก ๆ ก็คือ การตรวจสอบว่าของต่าง ๆ ที่ต้องใช้ประกอบอาหารที่สั่งไว้นั้นมาครบหรือยัง และเช็คว่ากุ๊กหน่วยต่าง ๆ ในครัวรู้หรือไม่ ว่าจะต้องทำอะไรบ้างในแต่ละมื้อแต่ละวัน แต่งกายในเสื้อเชฟ เสื้อกุ๊ก หรือเสื้อพ่อครัว หรือยูนิฟอร์ม ที่สะอาดเรียบร้อย และรัดกุม  อาจไม่จำเป็นต้องสวมผ้ากันเปื้อน และสวมหมวกุ๊กหากเป็นครัวใหญ่ที่มีผู้ช่วยหัวหน้าแผนกครัวหลายคน บางคนก็อาจได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบแผนกในครัวเฉพาะ บางแผนกไปเลยก็ได้ เช่น รับผิดชอบเรื่องซ้อสต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับอาหารฝรั่ง เป็นต้น

 

3. หัวหน้าครัวหรือหัวหน้าหน่วยในครัว (Section Chef หรือ Chef de Partie)

ภายในครัวของโรงแรมหรือห้องอาหารขนาดใหญ่ จะแบ่งเป็นแผนกย่อยออกไป มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของกิจการนั้น ๆ จึงมีหัวหน้ากุ๊กที่ดูแลรับผิดชอบเป็นแผนก ๆ ไป เรียกรวม ๆ ว่า Chef de Partie ชื่อแผนกและตำแหน่งต่าง ๆ ในครัวยังนิยมเรียกเป็นภาษาฝรั่งเศสเหมือนสมัยก่อน โดยเฉพาะในห้องอาหารหรือโรงแรมที่ผู้จัดการค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยม แต่งกายในเสื้อเชฟ เสื้อกุ๊ก หรือเสื้อพ่อครัว หรือยูนิฟอร์ม ที่สะอาดเรียบร้อย และรัดกุม  ต้องสวมผ้ากันเปื้อน และสวมหมวกุ๊ก แผนกต่าง ๆ ในครัวมีดังนี้

    หัวหน้าหน่วยผัก (The Vegetable Chef) หรือเรียกว่า Chef Entremettier ต้องสวมเสื้อเชฟ เสื้อกุ๊ก หรือเสื้อพ่อครัว
    หัวหน้าครัวขนมอบ (The Pastry Chef) เรียกว่า Chef Patissier ต้องสวมเสื้อเชฟ เสื้อกุ๊ก หรือเสื้อพ่อครัว
    หัวหน้าครัวอบ-ย่าง (The Rousseur Chef) เรียกว่า Chef Rotisseur ต้องสวมเสื้อเชฟ เสื้อกุ๊ก หรือเสื้อพ่อครัว
    หัวหน้าครัวเย็นหรือหัวหน้าที่ดูแลห้องเก็บอาหาร (The Chef in charge of the larder or cold kitchen) เรียกว่า Chef Garde-mangerต้องสวมเสื้อเชฟ เสื้อกุ๊ก หรือเสื้อพ่อครัว
    หัวหน้าหน่วยปลา (The Fish Chef) เรียกว่า Chef Poissonnier ต้องสวมเสื้อเชฟ เสื้อกุ๊ก หรือเสื้อพ่อครัว
    หัวหน้าหน่วยซ้อส (The Sauce Chef) เรียกว่า Chef Saucier ต้องสวมเสื้อเชฟ เสื้อกุ๊ก หรือเสื้อพ่อครัว

 
4. กุ๊กหมุนเวียน (Rellet Chef หรือ Chef Toumant)

กุ๊กหมุนเวียน หรือ เชฟ ตูร์น็อง มีหน้าที่ทำงานแทนหัวหน้ากุ๊กหน่วยต่าง ๆ ที่หยุด งานไปด้วยสาเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น พักร้อน ป่วย เป็นต้น เพราะฉะนั้น เชฟ ตูร์น็อง นี้จึงต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญในงานของหลายครัวหรือหลายหน่วยในครัว แม้ว่าอาจจะไม่เก่งหมดทุกด้าน แต่สามารถรับงานได้โดยไม่ติดขัด แต่งกายในเสื้อเชฟ เสื้อกุ๊ก หรือเสื้อพ่อครัว หรือยูนิฟอร์ม ที่สะอาดเรียบร้อย และรัดกุม  จำเป็นต้องสวมผ้ากันเปื้อน และสวมหมวกุ๊ก

 
5. ผู้ช่วยกุ๊ก (Commia Chef)

คำว่า Commis ต้องอ่านว่า “คอมมี” เพราะเป็นภาษาฝรั่งเศส ไม่ใช่อ่านว่า “คอมมิส” อย่างที่มีการออกเสียงกันผิด “กอมมี” มีหน้าที่คอยช่วยงานของหัวหน้ากุ๊กในหลาย ๆ ด้าน แต่เป็นงานที่ไม่ต้องการความชำนิชำนาญอะไรเป็นพิเศษ แต่งกายในเสื้อเชฟ เสื้อกุ๊ก หรือเสื้อพ่อครัว หรือยูนิฟอร์ม ที่สะอาดเรียบร้อย และรัดกุม  จำเป็นต้องสวมผ้ากันเปื้อน และสวมหมวกุ๊ก


6. กุ๊กฝึกหัด (Apprentice หรือ Trainee Chef)

นับว่าเป็นกุ๊กที่อาวุโสน้อยที่สุดในครัว มักจะเป็นพนักงานที่เพิ่งเข้างานไม่นาน ซึ่ง เมื่อทำงานนานเข้า ได้รับการฝึกงานและมีประสบการณ์มากเข้า ก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปตามลำดับชั้นของตำแหน่งในครัว


ชุดฟอร์มพนักงาน พ่อครัว เชฟ หรือกุ๊ก: อาชีพที่ไม่ได้เป็นกันได้ง่ายๆ!! อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://uniformdeluxe.com/

736
ถึงเวลากันอีกครั้งแล้วที่เราจะต้องทำความสะอาดบ้านของเราเพื่อต้นรับเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง หากคุณกำลังปวดหัวกับวิธีการทำความสะอาดบ้านอยู่นั้น เรามีเคล็ดลับดี ๆ มานำเสนอที่จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาในการทำความสะอาดไปได้ถึงครึ่งนึงเลยทีเดียว


1. จัดของให้เป็นระเบียบก่อนทำความสะอาด

ถ้าหากคุณไม่ค่อยได้ทำความสะอาดบ้านบ่อยมากนัก อาจทำให้เกิดความรกขึ้นในบ้านได้ ขอแนะนำให้คุณเก็บของทุกอย่างและจัดระเบียบให้เรียบร้อย จากนั้นค่อยถึงเวลาทำความสะอาดบ้านเคล็ดลับก็คือ สำหรับของบางสิ่งที่คุณไม่ได้ใช้แล้วก็ควรตัดสินใจทิ้งหรือบริจาคไปบ้าง ห้องครัวนั้นก็ถือเป็นอีกหนึ่งห้องที่สำคัญ การทำความสะอาดตู้เย็นและตู้เก็บของนั้นจะกลายเป็นเรื่องง่ายในทันทีหากคุณทิ้งอาหารที่หมดอายุไปให้หมด



2. เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม

เพื่อให้ประหยัดเวลาในการทำความสะอาด อย่าลืมจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาดทุกอย่างก่อนลงมือ อุปกรณ์หลัก ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ เช่น น้ำยาทำความสะอาด ไม้ถูพื้น เครื่องดูดฝุ่น ผ้าเช็ด น้ำยาขัดเฟอร์นิเจอร์ และถุงมือยาง



3. ใช้อุปกรณ์ไร้สายเพื่อความสะดวกในการทำความสะอาด

โดยปกติแล้วในการทำความสะอาดคุณจะต้องเสียเวลาไปกับการหลบสายไฟของเครื่องใช้ฟ้า และการถอดและเสียบปลั๊กเพื่อเปลี่ยนจุดทำความสะอาด แต่คุณจะหมดกังวลกับปัญหาเหล่านี้ไปได้เลยเมื่อคุณมีเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย ด้วยเทคโนโลยี Enhanced Bosch Lithium-Ion ของแบตเตอรี่นั้นช่วยให้คุณสามารถใช้งานเครื่องดูดฝุ่นได้นานถึง 75 นาทีต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง ทำให้คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับการทำความสะอาดได้แบบไม่สะดุด และแม้ในที่แคบ ๆ อย่างตู้เสื้อผ้า ก็สามารถความสะอาดได้อย่างง่ายดายเพียงใช้เครื่องดูดฝุ่นแบบมือถือ


4. ทำความสะอาดจากบนลงล่าง

เทคนิคการทำความสะอาดจากด้านบนลงด้านล่างจะช่วยให้คุณประหยัดเวลาในการทำความสะอาดไปได้มากทีเดียว เพราะฝุ่นที่อยู่บนเพดานและบนชั้นวางของนั้นจะถูกทำความสะอาดก่อนหล่นลงมาที่พื้นนั่นเอง เช่นเดียวกับการทำความสะอาดจากด้านซ้ายไปด้านขวาที่จะช่วยให้คุณทำความสะอาดได้ทั่วทั้งพื้นที่ของบ้านมากกว่านั่นเอง



5. ยกระดับการใช้งานเครื่องซักผ้าของคุณ

นอกจากการทำความสะอาดตามปกติแล้ว อย่าลืมนำผ้าม่านและเบาะโซฟาไปซักด้วยโหมดต่างๆทีมีอยู่ในเครื่องซักผ้าเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ยกตัวอย่างเช่น เครื่องซักผ้าฝาหน้าของเรานั้นมีโปรแกรม VarioPerfect ที่จะช่วยลดเวลาในการซักได้มากถึง 65% โดยยังให้ความสะอาดกับผ้าแบบเต็มที่เหมือนเดิม และยังใช้พลังงานน้อยกว่า 20% อีกด้วย


6. ทำได้อีกหลายอย่างด้วยเครื่องล้างจานของคุณ

เครื่องล้างจานนั้นจะสามารถช่วยประหยัดเวลาของคุณได้มากมาย เพราะหากเมื่อคุณกำลังวุ่นกับกิจกรรมอื่นๆ เพียงแค่ใส่ภาชนะที่ต้องการล้างและให้เครื่องล้างจานช่วยทำงานแทนคุณ และอย่าลืมล้างเครื่องด้วยโหมด Machine Care ที่ใช้เวลาไม่นาน ใส่ผงล้างเครื่องเข้าไปและปรับให้อุณหภูมิน้ำเป็นอุณหภูมิสูงสุดเพื่อทำความสะอาดคราบสกปรกที่ติดอยู่ในตัวเครื่อง การล้างเครื่องทุก ๆ 3 เดือนจะช่วยให้เครื่องล้างจานและภาชนะของคุณสะอาดหมดจดอยู่เสมอ


บริการทำความสะอาด: เปิดตำราการทำความสะอาดบ้านฉบับเร่งด่วน อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://snss.co.th/dt_post/soft-services/

737
ฉนวนกันเสียง ช่วยแก้ปัญหาเสียงดังรบกวน ปัญหาเสียงดังรบกวนหรือระดับเสียงดังกว่าที่กฎหมายกำหนด

ปัญหาเสียงดังรบกวนหรือมลพิษทางเสียง สร้างปัญหาและความหนักใจให้กับหลายๆคน โดยที่ผู้ได้รับผลกระทบเรื่องเสียงเหล่านั้น อาจจะไม่เคยทราบว่ากฎหมายในเมืองไทยให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่ได้รับเสียงอยู่ 4 ประเภทด้วยกัน กล่าวคือ

1. ว่าด้วยเรื่องของระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมงริมรั้วโรงงาน ต้องไม่เกิน 70 dBA
2. ว่าด้วยเรื่องระดับเสียงที่ได้รับเฉลี่ย 8 ชั่วโมงในพื้นที่ทำงาน ต้องไม่เกิน 85 dBA
3. ว่าด้วยเรื่องระดับเสียงรบกวน ต้องต่างจากระดับเสียงพื้นฐานไม่เกิน 10 dBA
4. ว่าด้วยเรื่องเสียงที่ออกจากแหล่งกำเนิดเสียงหรือกิจกรรมต่างๆ ต้องไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ


ยกตัวอย่างรายละเอียดของความดังเสียงแต่ละประเภท ที่กฎหมายควบคุม

1. ตั้งเครื่องวัดเสียงตามระเบียบวิธีการวัดเสียงเฉลี่ยของกรมควบคุมมลพิษ บันทึกค่าเสียงทิ้งไว้ให้ครบ 24 ชั่วโมง หากระดับเสียงเฉลี่ยที่บันทึกได้เกินกว่า 70 dBA ทางโรงงานหรือแหล่งกำเนิดเสียงต้องทำการปรับปรุงหรือลดเสียงลง ให้มีค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงต่ำกว่า 70 dBA

2. เมื่อทำการติดตั้งเครื่องวัดการสัมผัสเสียง (noise dosimeter) ที่พนักงาน แล้วพบว่ามีค่า TWA (Time Weight Average) ที่ 8 ชั่วโมง หรือค่าเฉลี่ยการสัมผัสเสียง 8 ชั่วโมงเกินกว่า 85 dBA ทางโรงงานหรือผู้รับผิดชอบพื้นที่ จะต้องทำการปรับปรุงหรือจัดทำโครงการอนุรักษ์การได้ยิน ตามรายละเอียดที่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกำหนด

3. การวัดเสียงรบกวนตามข้อกำหนดของกรมควบคุมมลพิษคือ ให้วัดเสียงขณะมีการรบกวนแล้วหักลบด้วยระดับเสียงพื้นฐานขณะไม่มีการรบกวน จากนั้นนำไปเทียบตัวปรับค่าที่กรมควบคุมมลพิษระบุไว้ ค่าที่ได้หลังจากหักตัวปรับค่าออกแล้ว จะเป็นค่าระดับเสียงรบกวน เช่น ระดับเสียงเฉลี่ยขณะมีการรบกวนวัดได้ 68 dBA และระดับเสียงพื้นฐาน (percentile 90 ของระดับเสียงขณะไม่มีการรบกวน) วัดได้ 47 dBA เมื่อนำ 68-47 จะได้ 21 dBA (ผลต่างเกิน 12 dBA ตัวปรับค่าคือ 0) จะได้ค่าระดับเสียงรบกวนคือ 21 dBA หรือเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด 11 dBA เป็นต้น

4. สำหรับกรณีที่ค่าระดับเสียงรบกวนไม่เกิน 10 dBA แต่ผู้รับเสียงมีความเดือดร้อน รำคาญ ใช้ชีวิตให้เป็นปกติสุขไม่ได้นั้น ทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความคุ้มครองเอาไว้ในเรื่องของ “เหตุเดือดร้อนรำคาญ” ยกตัวอย่างเช่น วัดระดับเสียงรบกวนในห้องนอนของผู้รับเสียง ที่มีบ้านอยู่ใกล้โรงงานผลิตน้ำแข็ง พบว่าระดับเสียงรบกวนอยู่ที่ 8.8 dBA ซึ่งไม่เกินที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดคือ 10 dBA แต่ผู้รับเสียงในห้องนั้นได้รับความเดือดร้อน นอนไม่หลับ เกิดความรำคาญและความเครียด ผู้รับเสียงสามารถร้องทุกข์ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้โรงงานผลิตน้ำแข็งทำการลดเสียงหรือปรับปรุงระบบการผลิตได้เช่นเดียวกัน



จะทราบได้อย่างไรว่าเสียงดังเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด (ฉนวนกันเสียง ช่วยลดเสียงดัง)  อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://noisecontrol365.com/

738
หากคุณกำลังมองหาไอเดีย สีทาบ้านภายใน ที่ยอดเยี่ยม สำหรับห้องต่าง ๆ ในบ้านของคุณ 10 สีทาภายใน ที่เราแนะนำในบทความนี้อาจมีประโยชน์กับคุณ


สีเทาอมม่วง (Lilac Gray)

สีทาบ้านภายใน เฉดสีเทาอมม่วงที่เรียบง่าย ช่วยให้ภายในห้องของคุณดูอบอุ่น เพิ่มความรู้สึกเป็นกลางสำหรับคนในครอบครัวทุกเพศทุกวัย และทำให้บรรยากาศภายในดูร่างเริงมากยิ่งขึ้น


สีเฮเซลนัท (Hazelnut)

สีทาภายใน เฉดสีเฮเซลนัท ที่อบอุ่นและน่าดึงดูดใจ ทำให้ผู้เข้าพักรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง มั่นใจได้เลยไม่ว่าสไตล์การตกแต่งบ้านของคุณก่อนหน้านี้จะเป็นสไตล์ไหน มันจะสามารถเข้ากันได้กับผนัง สีเฮเซลนัท อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังทำให้ห้องของคุณดูสว่างขึ้นอีกด้วย


สีเขียวเข้ม (Dark Greens)

สีเขียวเข้มนี้ สามารถสร้างบรรยากาศเลียนแบบความรู้สึกของการอยู่ท่ามกลางพฤกษศาสตร์อันเขียวขจีและรับพลังการบำบัดจากธรรมชาติในบ้านของคุณได้อย่างดี สีทาภายในนี้ เหมาะกับห้องที่มีแสงสว่างส่องถึงเพียงพอและห้องที่มีขนาดใหญ่เท่านั้น


สีดินอ่อน (Soft Clay)

สีดินอ่อน เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่มีความเร่าร้อนทางจิตวิญญาณต่อผืนดิน มันจะช่วยมอบให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาและความสง่างามแบบสบาย ๆ ให้กับห้องของคุณ


สีพาสเทลสงบ (Muted Pastels)

สีพาสเทลโทนสงบ อบอุ่น เรียบง่าย มีความน่าดึงดูดใจที่นำมาซึ่งกลิ่นอายของความรู้สึกที่สมบูรณ์แบบของความเป็นกลางทางเพศและวัย สีทาบ้านภายใน นี้ จึงเหมาะสำหรับการใช้ในห้องที่เป็นพื้นที่ส่วนกลาง เช่น ห้องครัวและห้องน้ำ


สีฟ้าใหม่ (New Blues)

สำหรับนักอนุรักษ์นิยม ด้วยวิธีการแบบสบาย ๆ ในการออกแบบตกแต่งภายใน สีฟ้าน้ำแข็ง สีฟ้าสีอมเทาและสีฟ้าอ่อน ๆ เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยม สีฟ้าหล่านี้จะช่วยให้บรรยากาศภายในบ้านของคุณดูผ่อนคลาย


สีหมอก (Mist)

สีหมอก จะทำให้ผนังภายในบ้านของคุณกลายเป็นเหมือนผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า มันจะเข้ากันได้กับการตกแต่งบ้านในหลากสไตล์ตามที่คุณต้องการ


สีดีบุก (Pewter)

สีดีบุก ทำให้ผนังบ้านของคุณกลายเป็นเหมือนผืนผ้าใบเช่นเดียวกับสีหมอกก่อนหน้านี้ สามารถใช้งานร่วมกับเฉดสีอื่น ๆ ได้แทบทุกเฉดสี นอกจากนี้มันยังเข้ากันได้กับการตกแต่งบ้านในสไตล์ที่เรียบหรู


สีมัสตาร์ด (Mustard)

สำหรับผู้ที่มองหาสีที่ดูป๊อป ทางเลือกที่ยอดเยี่ยมคือ สีมัสตาร์ด ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้างจุดเน้นบนผนังบ้านของคุณ ใช้ สีทาภายใน นี้ เพื่อสร้างความเร้าใจและเน้นการตกแต่งบ้านของคุณด้วยงานศิลปะน้อยชิ้นอย่างชาญฉลาด


สีน้ำตาลอมเทา (Mushroom)

สีน้ำตาลอมเทา อีกหนึ่ง เฉดสีทาภายใน ที่เป็นกลางสำหรับคนทุกเพศทุกวัยให้ความรู้สึกเป็นกันเองสำหรับแขกผู้มาเยือน ยิ่งไปกว่านั้นมันจะดูดีมากหากคุณใช้มันร่วมกับการตกแต่งบ้านในโทนธรรมชาติ


บ้านจัดสรรโคราช: เทรนด์ สีทาภายใน ที่ยอดเยี่ยมที่สุด อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://homes-realestate.com/

739
คางทูม เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำลาย โดยมากมักจะเป็นที่ต่อมน้ำลายข้างหู (parotid glands) พบมากในเด็กอายุ 6-10 ปี มักไม่พบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และผู้ใหญ่อายุมากกว่า 40 ปี มีอุบัติการณ์สูงในเดือนมกราคมถึงเมษายน และกรกฎาคมถึงกันยายน อาจพบการระบาดได้เป็นครั้งคราว


สาเหตุ

เกิดจากเชื้อคางทูม ซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่ม paramyxovirus เชื้อจะอยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด หรือโดยการสัมผัสถูกมือ สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน ชาม เป็นต้น) หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อแบบเดียวกับไข้หวัด เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและปาก แล้วแบ่งตัวในเซลล์เยื่อบุของทางเดินหายใจส่วนต้น หลังจากนั้นเชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือด แพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะต่อมน้ำลายข้างหู

ระยะฟักตัว 2-4 สัปดาห์ (เฉลี่ย 16-18 วัน)


อาการ

ที่สำคัญ คือ ขากรรไกรบวม 1-2 ข้าง โดยแรกเริ่มผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร บางรายอาจเจ็บคอภายใน 24 ชั่วโมง (บางรายอาจหลายวัน) ต่อมาจะมีอาการปวดที่ข้างแก้มใกล้ใบหูหรือปวดหู ซึ่งจะเป็นมากขึ้นเวลาพูด เคี้ยว หรือกลืน หรือเวลากินอาหารรสเปรี้ยว เช่น น้ำส้ม มะนาว ต่อมาจะเกิดอาการบวมที่ขากรรไกรบริเวณใต้หูและข้างหู (ทั้งด้านหน้าและหลังหู) ทำให้ใบหูถูกดันขึ้นข้างบน ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดมากขึ้น จนบางครั้งพูด เคี้ยว หรือกลืนลำบาก อาการบวมและปวดจะเป็นมากสุดภายใน 1-3 วัน แล้วค่อย ๆ ลดลง และส่วนใหญ่จะหายไปภายใน 4-8 วัน บางรายอาจนานถึง 10 วัน ส่วนอาการไข้ส่วนใหญ่จะเป็นอยู่ 3-4 วัน บางรายอาจเป็นอยู่ประมาณ 1-6 วัน

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีขากรรไกรบวมข้างเดียวก่อน ต่อมาอีก 1-2 วัน (บางรายหลายวัน) จึงบวมอีกข้าง ประมาณร้อยละ 25 ของผู้ป่วยจะมีอาการบวมเพียงข้างเดียว

บางรายอาจมีการอักเสบของต่อมน้ำลายใต้คาง (submandibular glands) และใต้ลิ้น (sublingual glands) ร่วมด้วย ทำให้มีอาการบวมที่ใต้คาง

บางรายอาจมีขากรรไกรบวมโดยไม่มีอาการอื่น ๆ นำมาก่อน หรืออาจมีเพียงอาการไข้โดยขากรรไกรไม่บวมก็ได้

ประมาณร้อยละ 30 ของผู้ที่ติดเชื้อคางทูมจะไม่แสดงอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนมากจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ส่วนน้อยที่อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย ซึ่งเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อคางทูมของเนื้อเยื่อส่วนอื่น ซึ่งอาจแสดงอาการก่อน ขณะ หรือหลังขากรรไกรบวม หรืออาจเกิดขึ้นโดยไม่มีอาการขากรรไกรบวมก็ได้

ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่ อัณฑะอักเสบ (orchitis) พบได้ประมาณร้อยละ 30-38 จะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น อัณฑะปวดและบวม (จะปวดมากใน 1-2 วันแรก) มักพบหลังเป็นคางทูม 7-10 วัน แต่อาจพบก่อนหรือพร้อม ๆ กับคางทูมก็ได้ ส่วนใหญ่เป็นเพียงข้างเดียวและน้อยรายที่จะกลายเป็นหมัน มักพบหลังวัยแตกเนื้อหนุ่ม ส่วนใหญ่พบในช่วงอายุ 30-40 ปี ในเด็กอาจพบได้บ้าง แต่น้อยกว่าในผู้ใหญ่มาก

อาจพบรังไข่อักเสบ (oophoritis) ซึ่งจะมีอาการไข้และปวดท้องน้อย มักพบในวัยแตกเนื้อสาว ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เป็นหมันได้

อาจทำให้แท้งบุตรในกรณีติดเชื้อคางทูมในระยะไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์

อาจพบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยที่สุด มักมีอาการเพียงเล็กน้อยและหายได้เอง ส่วนสมองอักเสบอาจพบได้บ้างแต่น้อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไม่รุนแรง ส่วนน้อยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทางสมอง หรือร้ายแรงถึงตาย

นอกจากนี้ ยังอาจพบตับอ่อนอักเสบ ประสาทหูอักเสบ (อาจทำให้หูตึงหรือสูญเสียการได้ยินชั่วคราวหรือถาวรได้) ไตอักเสบ ต่อมไทรอยด์อักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ข้ออักเสบ ตับอักเสบ ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ แต่ล้วนเป็นภาวะที่พบได้น้อยมาก


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

มักตรวจพบไข้ 38-40 องศาเซลเซียส (บางรายอาจไม่มีไข้) บริเวณขากรรไกรบวมข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง กดเจ็บ

รูเปิดของท่อน้ำลายในกระพุ้งแก้ม (บริเวณตรงกับฟันกรามบนซี่ที่ 2) อาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อย

อาจพบอาการลิ้นบวม (ในรายที่มีต่อมน้ำลายใต้ลิ้นอักเสบ) หรือหน้าอกตรงส่วนใต้คอบวม (ในรายที่มีต่อมน้ำลายใต้คางบวม)

ในรายที่จำเป็นต้องวินิจฉัยโรคคางทูมให้แน่ชัด แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด (ทำการทดสอบทางน้ำเหลือง) เพื่อหาระดับสารภูมิต้านทานต่อเชื้อคางทูม การตรวจหาเชื้อคางทูมจากน้ำลาย น้ำไขสันหลัง หรือปัสสาวะ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ถ้าพบผู้ป่วยมีอาการขากรรไกรบวม มีประวัติ (เช่น การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นคางทูม) และอาการ (มีไข้ ปวดขากรรไกรมาก่อน) เข้าได้กับโรคคางทูม โดยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ก็ให้การรักษาตามอาการโดยไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะ แนะนำให้ผู้ป่วยนอนพัก ดื่มน้ำมาก ๆ เช็ดตัวเวลามีไข้สูง หลีกเลี่ยงอาหารรสเปรี้ยว ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบ ถ้าปวดมากใช้กระเป๋าน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบ

ในช่วงที่ขากรรไกรบวมหรือปวดมาก หรืออ้าปากลำบาก แนะนำให้ผู้ป่วยกินอาหารอ่อนหรือที่เคี้ยวง่าย

ถ้าไข้ไม่สูงหรือไม่มีไข้ ไม่ต้องให้ยา ถ้าไข้สูงให้พาราเซตามอล ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม

2. ถ้ามีอัณฑะอักเสบ ให้ประคบด้วยน้ำแข็ง ให้ยาลดไข้แก้ปวด เช่น พาราเซตามอล ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ ส่วนใหญ่มักหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์

ในรายที่อักเสบรุนแรงหรือให้ยาลดไข้แก้ปวดแล้วไม่ทุเลา แพทย์อาจพิจารณาให้ยาสตีรอยด์ลดการอักเสบ เช่น ให้เพร็ดนิโซโลน

3. ถ้ามีอาการปวดท้องรุนแรง ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก คอแข็ง ชัก หรือซึมไม่ค่อยรู้สึกตัว แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม และให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ให้การรักษาตามอาการ มักจะหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนน้อยที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา


การดูแลตนเอง

ถ้ามั่นใจ หรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นคางทูม ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. ปฏิบัติตัว ดังนี้

    พักผ่อนมาก ๆ ห้ามอาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง ดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงอาหารรสเปรี้ยว
    กินอาหารตามปกติหรืออาหารอ่อน (เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก)
    ใช้น้ำอุ่นประคบบริเวณที่เป็นคางทูม
    ถ้ามีไข้สูง หรือปวด กินยาลดไข้แก้ปวด - พาราเซตามอล* (ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม)  (ดู โรคเรย์ซินโดรม)

2. ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการชัก ไม่ค่อยรู้สึกตัว ปวดศีรษะมาก อัณฑะปวดและบวม ปวดท้องนานเป็นชั่วโมง ๆ เจ็บหน้าอกมาก หรือตาเหลืองตัวเหลือง
    มีอาการเหงือกอักเสบ
    มีประวัติการแพ้ยา สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือมีโรคตับ โรคไต หรือประจำตัวอื่น ๆ ที่มีการใช้ยา หรือแพทย์นัดติดตามการรักษาอยู่เป็นประจำ
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    อาการไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ


การป้องกัน

1. การฉีดวัคซีนป้องกัน แนะนำให้ฉีดวัคซีนรวมป้องกันหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) แก่เด็กทุกคน โดยฉีดเข็มแรกเมื่ออายุ 9-12 เดือน และฉีดซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ปี

2. ในช่วงที่มีการระบาดหรือมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นโรคนี้ แนะนำให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับไข้หวัด


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้เกิดจากไวรัส ถือเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง ซึ่งมักจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่ต้องฉีดยาหรือให้ยาจำเพาะแต่อย่างใด การที่ชาวบ้านในสมัยก่อนหรือบางคนนิยมเขียน “เสือ” ด้วยตัวหนังสือจีนที่แก้มทั้ง 2 ข้าง หรือใช้ปูนแดงหรือครามป้ายแล้วหายได้นั้นก็เพราะเหตุนี้

2. ควรแยกผู้ป่วยออกต่างหาก อย่าให้คลุกคลีกับคนอื่น จนกว่าจะพ้นระยะติดต่อ (ระยะติดต่อตั้งแต่ 4 วันก่อนมีอาการจนกระทั่ง 9 วัน หลังมีอาการ)

3. ควรเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ หากสงสัยควรส่งไปตรวจที่โรงพยาบาล

4. เมื่อเป็นแล้วมักจะไม่เป็นซ้ำอีก

5. อาการคางบวม อาจมีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ ได้ ควรซักถามอาการและตรวจร่างกายให้ถี่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจดูภายในปากและลำคอ (ตรวจอาการ คางบวม/คอบวม ประกอบ) และถ้าให้การดูแลรักษาตามอาการ 1 สัปดาห์แล้วไม่ทุเลา ก็ควรค้นหาสาเหตุอื่นต่อไป เช่น เมลิออยโดซิส ต่อมน้ำลายอักเสบ*

6. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

* ต่อมน้ำลายอักเสบ (parotitis) มักมีลักษณะเป็นก้อนนุ่ม ๆ ที่มุมขากรรไกร หรือใต้คางอย่างเรื้อรัง อาจมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย อาจเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชักนำชัดเจนก็ได้ บางรายอาจพบว่ามีภาวะอุดกั้นของท่อน้ำลายจากก้อนนิ่ว  เนื้องอก  หรือท่อน้ำลายตีบ  หากพบควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาที่ถูกต้อง


ข้อมูลสุขภาพ: คางทูม (Mumps/Epidemic parotitis) อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://doctorathome.com/expert-scoops

740
ลดความอ้วนยังไงให้ได้ผลเร็ว? วันนี้เรามีวิธีกินอาหารลดน้ำหนักมาแนะนำทั้งหมด 6 แบบ จะต้องกินแบบไหนถึงจะช่วยลดน้ำหนักได้เร็ว ไปเช็คกันเลย! แต่…ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่าการกินแบบนี้ไม่แนะนำให้ทำในระยะยาว เพราะอาจจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้!



ลดความอ้วนยังไงให้ได้ผลเร็ว?

 
1. Hypocaloric Diet

     Hypocaloric Diet เป็นการกินแบบจำกัดปริมาณแคลอรี่ โดยให้เลือกเป็นอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ ซึ่งถ้าหากถามว่าเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าต่ำ? แนะนำเป็นประมาณ 800 แคลอรี่เลยค่ะ ซึ่งหากเราจำกัดจำนวนปริมาณแคลอรี่ไม่ให้มากเกินไป และเลือกกินอาหารแคลอรี่ต่ำก็จะช่วยลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น

 
2. Intermittent Fasting (IF)

     การทำ IF ก็คือการจำกัดเวลาการกินอาหารที่เจาะจงสลับกับการอดอาหาร ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเวลาเราจะกินอาหารเพื่อลดน้ำหนัก เราก็จะต้องจำกัดอาหารแต่ละชนิดใช่ไหมคะ แต่สำหรับการทำ IF เราจะต้องจำกัดเวลาการกินและการอดเข้าไปด้วย อย่างเช่น แบบ 16/8 ซึ่งก็คือ อดอาหาร (Fasting) เป็นเวลา 16 ชั่วโมง และกินอาหาร (Feeding) เป็นเวลา 8 ชั่วโมง นั่นเอง

 
3. Plant-Based Diet

     การเน้นกินแต่พืชผักผลไม้ก็มีส่วนช่วยให้ลดน้ำหนักได้เร็วเช่นกัน เพราะว่าผักมีแคลอรี่ที่ต่ำเมื่อเทียบกับอาหารชนิดอื่นๆ แม้ว่าเราจะกินผักในปริมาณมากๆ เราก็จะไม่รู้สึกผิดสักเท่าไร เพราะผักมีแคลอรี่ที่ต่ำนั่นเอง ซึ่งนอกจากจะช่วยลดน้ำหนักได้แล้ว ผักผลไม้ก็ยังให้วิตามินและสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย

 
4. Low-carb Diet

     การกินอาหารแบบ Low-carb Diet คือการจำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตลง และเน้นไปที่อาหารประเภทโปรตีนและไขมัน โดยเมื่อเรากินคาร์โบไฮเดรตเข้าไป อินซูลินจะถูกปล่อยออกมาและขนส่งน้ำตาลกลูโคสจากคาร์โบไฮเดรตเข้าสู่เซลล์ของเราเพื่อเป็นพลังงาน แต่หากเรากินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปก็อาจจะทำให้กลูโคสส่วนเกินไปจบลงที่เซลล์ไขมันของเราได้ ซึ่งการกินอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำจะทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันแทนน้ำตาลได้ และจะทำให้เราน้ำหนักลดลงได้นั่นเอง

 
5. Paleo Diet

     Paleo Diet หรือที่เรียกว่า Paleolithic Diet ซึ่งคำว่า Paleolithic แปลว่า ยุคหินเก่า ใช่แล้ว! มันคือการกินอาหารแบบคนในยุคโบราณนั่นเอง โดยการกินอาหารแบบนี้จะคล้ายกับการกินแบบ Low-carb Diet ที่จะต้องลดคาร์บลง ซึ่ง Paleo Diet นอกจากจะลดคาร์โบไฮเดรตแล้ว ก็จะเน้นกินอาหารที่มีโปรตีน ไม่ว่าจะโปรตีนจากพืชหรือสัตว์ก็ได้ รวมถึงยังเน้นกินผัก ถั่ว เมล็ดพืช สมุนไพร และไขมันดีอีกด้วย

 
6. Low-Fat Diet

     สำหรับ Low-Fat Diet คือการกินอาหารแบบไขมันต่ำ ซึ่งการลดปริมาณไขมันจะสามารถช่วยลดแคลอรี่ได้ เนื่องจากร่างกายจะเก็บแคลอรี่ส่วนเกินในรูปของไขมันนั่นเอง ดังนั้นการลดไขมันก็จะช่วยลดแคลอรี่ และทำให้สามารถลดน้ำหนักได้ตามมา



วิธีลดความอ้วนยังไงให้ได้ผลเร็ว ด้วยการกินอาหารลดน้ำหนัก 6 แบบ อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.healthyhitech.net/

หน้า: 1 ... 72 73 [74] 75 76 ... 81
โพสต์ฟรี ลงประกาศฟรี ลงโฆษณาฟรี google ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ประกาศฟรี ขายฟรี ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google