แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: 1 ... 73 74 [75] 76 77 ... 108
741
มองหา รถกระบะรับจ้างขนย้ายบ้านสงขลา อยู่ใช่ไหมนี่เลยต้องขอบอกว่าสำหรับผู้ที่ใช้บริการ รถรับจ้าง หรือต้องการ รถกระบะรับจ้างสงขลา ในงานขนย้ายทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นงาน ขนย้ายบ้าน ขนย้ายของทั่วไป ขนย้ายสินค้าอุปโภคบริโภค ย้ายห้องพัก ย้ายหอพัก ขนย้ายไซต์งานก่อสร้าง ขนย้ายรถมอเตอร์ไซด์ ขนย้ายไก่ชน ที่นี่มีรถกระบะรับจ้างขนของแบบตู้ทึบและเป็นรถกระบะรับจ้างแบบกระบะคอกสูง ซึ่งให้บริการขนย้ายได้ทุกรูปแบบทุกประเภท ขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าต้องการขนย้ายสินค้าเป็นแบบไหน งานบริการของเรานั้นให้บริการด้วยความจริงใจราคาถูก ที่สำคัญยังสามารถต่อรองราคากับลูกค้าได้อย่างสบาย สำหรับท่านใดที่มีความประสงค์อยากจะขนย้ายของสามารถติดต่อได้ที่เบอร์ที่อยู่ข้างล่างนี้ ซึ่ง สามารถบริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง


เราเคยมีความรู้สึกอย่างไรบ้างกับการใช้บริการ รถกระบะรับจ้าง แน่นอนว่าหลายๆคนที่เคยมีประสบการณ์ในการใช้บริการรถกระบะรับจ้างซึ่งบางคนอาจจะได้รถกระบะรับจ้างที่ให้บริการดีมาก มีพนักงานขนย้ายของและช่วยเราขนย้ายสินค้าได้อย่างรวดเร็ว งานมีความปลอดภัยแต่บางคนอาจจะเจอประสบการณ์ที่ไม่ดีเช่น รถกระบะรับจ้างมีราคาที่แพงเกินจริง มีความล่าช้าในการบริการ ซึ่งหลายๆอย่างนั้นย่อมเกิดขึ้นได้ในการให้บริการรถรับจ้างอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากเราเลือกใช้ผู้ให้บริการ รถกระบะรับจ้างขนย้ายบ้านจังหวัดสงขลา ที่อยู่ในเขตพื้นที่จริงๆและเป็นรถที่ผู้ ให้บริการมีความเป็นมืออาชีพและสามารถตอบโจทย์ทุกปัญหาให้กับลูกค้าได้ ซึ่งเราจะขอแนะนำ ผู้ให้บริการรถรับจ้างสงขลาในนามของ ถือว่าเป็นผู้ให้บริการรถรับจ้างที่มีประสบการณ์ มายาวนานกว่า 15 ปีให้บริการงานรับจ้างขนย้าย ขนย้ายบ้าน ขนย้ายหอ ขนย้ายอพาร์ทเม้นท์ ขนย้ายสินค้าทั่วไปมาอย่างยาวนานและมีความปลอดภัยสูง สำหรับลูกค้าที่ยังไม่เคยใช้บริการสามารถติดต่อสอบถามได้ตามเบอร์และที่อยู่ให้ด้านบน เรามีความมั่นใจว่าขนส่งจะสามารถบริการงานขนย้ายให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดีและการันตีในเรื่องงานให้บริการมีความรับผิดชอบในสินค้าของลูกค้าทุกชิ้น สะดวกและปลอดภัยมั่นใจได้จากแน่นอน


การเตรียมตัวในการขนย้ายของแน่นอนว่าทุกๆคนจะต้องมีการเตรียมของเตรียมสินค้าให้กับ รถขนของ ก่อนที่จะถึงหน้างานอย่างแน่นอนและเราจะมีข้อคิดและแนวคิดเบื้องต้นในการเตรียมสินค้าให้กับ รถกระบะรับจ้างขนของสงขลา เมื่อเข้าสู่หน้างานสามารถที่จะปฏิบัติงานได้เลยทันทีทำให้ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาและมีความกังวลว่าสินค้าของท่านจะใส่หรือบรรจุลงในรถขนของของเราได้หมดหรือไม่หมดขึ้นอยู่กับการเตรียมของซึ่งเรามีวิธีสั้นๆต่อจากนี้จะเป็นงานบริการและวิธีการในการอธิบายเกี่ยวกับการเตรียมสินค้าให้กับลูกค้าซึ่งมีหลักการง่ายๆดังนี้

1.ใช้กล่องสินค้าที่มีความคงทน หากเกิดการกดทับซ้อนหรือมีสินค้าในปริมาณที่มากๆอาจจะใช้เป็นกล่องกระดาษหรือกล่องพลาสติกก็ได้ที่สามารถรับแรงกดกระแทกได้นั่นเอง

2.ฟิล์มยึดสินค้า เนื่องจากว่าหากกรณีที่สินค้าต้องวางหลายๆชั้น ดังนั้นควรใช้ฟิล์มเหนียวหรือฟิล์มพันรอบตัวสินค้าหรืออาจจะใช้เป็นเชือกและสินค้าก็ได้ เช่นเดียวกันซึ่งสิ่งเหล่านี้หากลูกค้าไม่มี ทางรถขนของก็จะเตรียมมาไว้สำหรับลูกค้าเช่นเดียวกัน

3.สินค้าที่มีความเปราะบาง เช่นตู้กระจก ถ้วยจาน กระเบื้อง สิ่งเหล่านี้ลูกค้าควรจะบรรจุลงในกล่องแล้วมีสินค้าหรืออุปกรณ์กันการกระแทก เพื่อป้องกันการแตกในระหว่างการขนย้าย

4.เครื่องใช้ไฟฟ้า ควรบรรจุอยู่ในกล่องบรรจุของเขาเองหรือไม่ก็ใช้กล่องที่มีขนาดใหญ่แล้วใช้วัสดุกันกระแทกวางซ้อนอีกทีนึง

5.เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว สามารถบรรจุลงกล่องและใส่ในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ได้เพราะเรามีรถเข็นไว้บบรรทุกอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่ตึกชั้นไหน คนยกของของเราก็สามารถจัดการขนย้ายสินค้าคุณได้อย่างง่ายดาย

จุดพื้นที่ที่รถกระบะรับจ้างของเราวิ่งมาบริการท่านโดยใช้รถในเขตต่างๆดังนี้

อำเภอเมืองสงขลา
อำเภอรัตภูมิ
อำเภอสทิงพระ
อำเภอสะเดา
อำเภอสะบ้าย้อย
อำเภอสิงหนคร
อำเภอกระแสสินธุ์
อำเภอควนเนียง
อำเภอจะนะ
อำเภอเทพา
อำเภอนาทวี
อำเภอนาหม่อม
อำเภอบางกล่ำ
อำเภอระโนด
อำเภอหาดใหญ่
อำเภอคลองหอยโข่ง

สำนักงานขนย้าย หากเราสามารถที่จะเตรียมการขนย้ายให้กับ รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดสงขลา ได้ตามนี้แล้ว ทางลูกค้าไม่ต้องมีความกังวลว่าสินค้าของท่านจะชำรุดเสียหายอย่างแน่นอนและที่สำคัญการขนย้ายจะสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ลูกค้าไม่ต้องกังวลแต่ถ้าหากว่าในงานขนย้ายลูกค้าไม่สามารถที่เตรียมของได้ทันเวลาก็สามารถให้พนักงานขับรถหรือพนักงานยกของเราเตรียมสินค้าให้กับท่านได้อย่างไม่มีปัญหา


รถกระบะรับจ้างขนของภาคใต้ สงขลา ยินดีบริการขนย้ายของทุกวัน ราคาถูก ปลอดภัย

ทางเราต้องขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่เข้ามาใช้บริการ รถกระบะรับจ้างขนย้ายบ้านสงขลา ของเราขนส่งเรามีความมั่นใจว่าจะบริการท่านได้เป็นอย่างดีและมีความรวดเร็วตามที่ท่านต้องการอย่างแน่นอน งานขนย้ายแต่ละครั้งเรากล้าการันตีเรื่องการขนย้ายเพื่อให้ผู้ใช้บริการทุกท่านมีความเชื่อใจและไว้วางใจในเรา เราพร้อมที่จะก้าวเดินไปด้วยกันด้วย รถรับจ้างขนของจังหวัดสงขลา ที่ดี ใหม่ มีคุณภาพ ทุกๆงานย้ายของ ย้ายบ้าน ย้ายมอเตอร์ไซด์ ย้ายไซด์งานก่อสร้าง ย้ายสินค้าการเกษตร ย้ายเครื่องจักร ย้ายไก่ชน และงานขนย้ายทั่วไป เราวิ่งไกลในราคาถูก และยังมีคนยกสินค้าให้ด้วย คุ้มค่าในการขนย้ายของอย่างแน่นอนลองมาใช้บริการ รถกระบะรับจ้างขนของ ของเราดูนะคะคุณจะมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าเราทำได้อย่างที่กล่าวไว้จริงๆคะ ขอบคุณค่ะ


รถรับจ้างขนของกรุงเทพ รถกระบะรับจ้างขนย้ายบ้านสงขลา สะดวก ราคาดีเที่ยวกลับ อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.rodrubjang-youservice.com/category/2

742
อสังหา / ชนิดของโรคเบาหวาน
« เมื่อ: 18มีนาคม2024, 00:31:10am »
โรคเบาหวานคืออะไร

โรคเบาหวาน (Diabetes) คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของฮอร์โมนที่ชื่อว่า อินสุลิน (Insulin) ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของคนเราจำเป็นต้องมีอินสุลิน เพื่อนำน้ำตาลในกระแสเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะสมองและกล้ามเนื้อ ในภาวะที่อินสุลินมีความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นการลดลงของปริมาณอินสุลินในร่างกาย หรือการที่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายตอบสนองต่ออินสุลินลดลง (หรือที่เรียกว่า ภาวะดื้ออินสุลิน) จะทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีปริมาณน้ำตาลคงเหลือในกระแสเลือดมากกว่าปกติ

สาเหตุของโรคเบาหวานเกิดจากการที่ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงมากขึ้นถึงระดับหนึ่ง จนทำให้ไตดูดกลับน้ำตาลได้ไม่หมด ซึ่งปกติไตจะมีหน้าที่ดูดกลับน้ำตาลจากสารที่ถูกกรองจากหน่วยไตไปใช้ ส่งผลให้มีน้ำตาลรั่วออกมากับปัสสาวะ จึงเป็นที่มาของคำว่า “โรคเบาหวาน” หากเราปล่อยให้เกิดภาวะเช่นนี้ไปนาน ๆ โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงตามมาในที่สุด

 
ชนิดของโรคเบาหวาน

    เบาหวานชนิดที่ 1 – เกิดจากภูมิคุ้มกันร่างกายทำลายเซลล์สร้างอินสุลินในตับอ่อน ทำให้เกิดภาวะขาดอินสุลิน
    เบาหวานชนิดที่ 2 – เกิดจากภาวะการลดลงของการสร้างอินสุลิน ร่วมกับภาวะดื้ออินสุลิน และมักเป็นกรรมพันธุ์
    เบาหวานชนิดพิเศษ – สาเหตุของโรคเบาหวานชนิดนี้อาจเกิดจากความความผิดปกติของตับอ่อน หรือเป็นโรคที่เกี่ยวกับการทำงานที่ผิดปกติของอินสุลินโดยกำเนิด
    เบาหวานขณะตั้งครรภ์ – เบาหวานชนิดนี้เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์และหายไปได้หลังคลอดบุตร แต่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต

อาการของโรคเบาหวาน

เบาหวานที่พบได้บ่อยที่สุด คือเบาหวานชนิดที่ 2 สาเหตุของโรคเบาหวานชนิดนี้เกิดจากกรรมพันธุ์และการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การรับประทานอาหารประเภทแป้ง ของหวานมากเกินไป ภาวะน้ำหนักเกิน อ้วนลงพุง การขยับร่างกายที่น้อยลง ไม่ออกกำลังกาย เป็นต้น
เบาหวานชนิดนี้ มักเกิดในกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม โรคเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่าเกิดในกลุ่มคนที่มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ เช่น อายุ 20 - 30 ปี ซึ่งสัมพัทธ์กับการรับประทานอาหารที่เป็นแป้ง ของหวาน หรือการออกกำลังกายที่ลดลง และ โรคอ้วน ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่อายุยังน้อย มีโอกาสจะควบคุมอาการโรคได้ยากกว่า เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่ายกว่า และมักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในช่วงอายุที่น้อยกว่า

ดังนั้น การควบคุมเบาหวานให้อยู่ในระดับที่ปกติ จึงมีความสำคัญอย่างมากรวมถึงการค้นหาโรคเบาหวานในกลุ่มเสี่ยง เพื่อป้องกันและการรักษาโรคเบาหวานได้อย่างทันท่วงที จะส่งผลให้ลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานระยะยาวได้

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
เมื่อมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติเป็นระยะเวลานาน น้ำตาลที่สูงจะส่งผลโดยตรงต่อหลอดเลือดทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ โดยทำให้เกิดภาวะอักเสบ และภาวะหลอดเลือดอุดตันได้ง่ายกว่าคนปกติ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยในภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง ทำให้น้ำตาลส่วนเกินไปเกาะกับเม็ดเลือดขาวที่ใช้ต่อสู้กับเชื้อโรค ทำให้เม็ดเลือดขาวมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆได้ลดลง ส่งผลให้เกิดภาวะติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย

ภาวะแทรกซ้อนหลัก ๆ ที่พบได้ในผู้ป่วยเบาหวาน

    ภาวะแทรกซ้อนทางตา
    ภาวะแทรกซ้อนทางตาหรือที่เรียกกันว่า ภาวะเบาหวานขึ้นตา ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรังส่งผลต่อจอประสาทตาทำให้เกิดจอประสาทเสื่อม หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดจอประสาทตาลอก และตาบอดได้ในที่สุด นอกจากนี้ผู้ป่วยเบาหวานยังเสี่ยงต่อภาวะต้อกระจก ต้อหินได้มากกว่าคนปกติอีกด้วย

    ภาวะแทรกซ้อนทางไต
    ภาวะแทรกซ้อนทางไต หรือที่เรียกกันว่า ภาวะเบาหวานลงไต ในระยะเริ่มแรก ไตจะมีการทำงานที่หนักขึ้น เนื่องจากน้ำตาลในเลือดที่สูง ส่งผลให้มีแรงดันเลือดไปที่ไตสูงตามไปด้วย หากตรวจการทำงานของไตในระยะนี้ จะไม่พบความผิดปกติ การตรวจปัสสาวะอาจมีหรือยังไม่มีโปรตีนไข่ขาว (อัลบูมิน) รั่วออกมากับปัสสาวะ ระยะถัดมาจะเริ่มพบมีโปรตีนไข่ขาวรั่วออกมากับปัสสาวะ และอาจมีการทำงานของไตที่ลดลงเล็กน้อย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี การทำงานของไตจะลดลงเรื่อยๆ และอาจดำเนินไปถึงภาวะไตวายเรื้อรังจนต้องทำการล้างไตในที่สุด


    ภาวะแทรกซ้อนทางเส้นประสาท

    ภาวะนี้เป็นภาวะที่พบบ่อยที่สุด คือผู้ป่วยมักมีอาการชาปลายมือปลายเท้า เหมือนใส่ถุงมือหรือถุงเท้าอยู่ตลอดเวลา บางคนอาจมีอาการเจ็บแปลบเหมือนโดนเข็มแหลม ๆ ทิ่ม บางคนมีอาการแสบร้อนบริเวณปลายมือเท้า อาการทางระบบประสาทที่พบได้แต่ไม่บ่อย เช่น เหงื่อไม่ออกหรือออกง่ายกว่าปกติ หัวใจเต้นผิดจังหวะ กลืนสำลัก ท้องอืดง่าย จุกแน่นลิ้นปี่ ซึ่งเป็นอาการของระบบประสาทที่ควบคุมการบีบเคลื่อนตัวของทางเดินอาหารผิดปกติ

    เส้นเลือดแดงใหญ่อุดตัน

    อาการเส้นเลือดแดงใหญ่อุดตันมักเกิดขึ้นโดยเฉพาะบริเวณขา อาการที่พบได้บ่อยคือ มีอาการปวดขามากเมื่อเดินหรือวิ่ง และดีขึ้นเมื่อพักหรือห้อยขาลงที่ต่ำ ปลายเท้าเย็น ขนขาร่วง ผิวหนังบริเวณขาเงามัน ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดอุดตันจนปลายเท้าขาดเลือด ติดเชื้อ และอาจต้องตัดนิ้วเท้า หรือขาทิ้งในที่สุด

    เส้นเลือดหัวใจตีบ

    ภาวะนี้เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง โดยเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือหากตีบรุนแรงอาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย ส่งผลให้การบีบตัวของหัวใจลดลง เกิดหัวใจวาย ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นผิดจังหวะ และเสียชีวิตเฉียบพลันได้

    เส้นเลือดสมองตีบ

    อาการเส้นเลือดสมองตีบเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงเช่นกัน เมื่อเกิดภาวะเส้นเลือดสมองตีบ ทำให้การทำงานของสมองและเส้นประสาทบริเวณที่ขาดเลือดลดลงหรือไม่ทำงาน ส่งผลให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด หรือมีอาการชาครึ่งซีก


จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นเบาหวาน

นอกจากภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานมีอาการที่รุนแรง และก่อให้เกิดภาวะทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตได้ แต่หากเราทราบสาเหตุของโรคเบาหวานและทำการตรวจวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่ระยะแรก และผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ก็สามารถลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวได้มาก

ผู้ป่วยเบาหวานจะมีอาการแสดงที่หลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการผิดปกติอะไรเลย ไปจนถึงภาวะช็อกน้ำตาล อย่างไรก็ตาม อาการที่เราสามารถสังเกตได้ เช่น เหนื่อยง่ายกว่าปกติ ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย โดยเฉพาะปัสสาวะตอนกลางคืน ซึ่งอาจมากเกิน 3 ครั้ง/คืน น้ำหนักลดฮวบฮาบโดยไม่ทราบสาเหตุ ปลายมือปลายเท้าชา แสบร้อน หรือรู้สึกคล้ายเข็มแหลมๆทิ่ม แผลเรื้อรัง หายช้า เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ตามัวลง มองไม่ชัดเท่าปกติ หรือในคนสายตาสั้นอาจมองเห็นชัดขึ้น

บุคคลที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน ได้แก่ ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน โดยกำหนดที่ดัชนีมวลกาย ≥ 23 kg/m2 ผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุง รอบเอวใหญ่ โดยเฉพาะในผู้ชาย  ≥ 90 เซนติเมตร และในผู้หญิง  ≥ 80 เซนติเมตร ผู้ที่มีญาติสายตรงป่วยเป็นโรคเบาหวาน ผู้หญิงที่เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือเคยคลอดบุตรที่มีน้ำหนักแรกคลอด 4 กิโลกรัมขึ้นไป รวมถึงชาวเอเชียที่อาจไม่มีปัจจัยเสี่ยงข้างต้นแต่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน


การวินิจฉัยโรคเบาหวาน

ปัจจุบันการวินิจฉัยโรคเบาหวานมีทั้งหมด 4 วิธี แต่ที่แพร่หลายและแม่นยำในประเทศไทย มี 3 วิธี ได้แก่

    น้ำตาลในเลือดหลังงดอาหารที่มีพลังงานเป็นเวลา 8-12 ชั่วโมง เกิน 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป อย่างน้อย 2 ครั้ง
    น้ำตาลในเลือดหลังกลืนน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม เป็นเวลา 2 ชั่วโมง เกิน 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป

น้ำตาลในเลือดแบบสุ่มโดยไม่ได้งดอาหารที่ให้พลังงาน เกิน 200 มิลลกรัมต่อเดซิลิตร ร่วมกับมีอาการที่เข้าได้กับโรคเบาหวานเช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย เป็นต้น


การรักษาโรคเบาหวาน

การรักษาโรคเบาหวาน เป็นการรักษาที่ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากแพทย์ พยาบาล โภชนากร และ ที่สำคัญที่สุดคือตัวผู้ป่วยเอง ผู้ป่วยต้องตระหนักถึงความสำคัญของการรักษา โดยต้องเข้าใจก่อนว่า โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ที่ใกล้เคียงปกติที่สุดได้ ผู้ป่วยเบาหวานสามารถใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงทำงานประจำได้ตามปกติหากแต่ต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติโดยการควบคุมอาหาร  ออกกำลังกาย และใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด รวมทั้งติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้มาก


การควบคุมอาหาร

การรักษาโรคเบาหวานด้วยวิธีการควบคุมอาหารมีความสำคัญมากในการลดระดับน้ำตาลในเลือด และถือเป็นการรักษาหลักที่ผู้ป่วยเบาหวานทุกรายควรเข้าใจและปฏิบัติอย่างถูกต้อง โดยอาหารที่ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรับประทานได้อย่างไม่จำกัดจำนวนได้แก่ ผักใบเขียวทุกชนิด เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ขาว เป็นต้น อาหารบางชนิดที่สามารถรับประทานได้ในปริมาณจำกัด เช่น ผลไม้ แนะนำให้รับประทานผลไม้ชนิดหวานน้อย เช่นฝรั่ง ชมพู่ แก้วมังกร เป็นต้น


การออกกำลังกาย

สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานการออกกำลังกายก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาโรคเบาหวานที่สำคัญ เนื่องจากจะช่วยให้อินสุลินทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แนะนำว่าควรออกกำลังกายชนิดแอโรบิค เช่น วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ให้ได้อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และออกกำลังกายชนิดต้านน้ำหนัก เช่น การยกเวท เป็นเวลาอย่างน้อย 45 นาทีต่อวัน 2 วันต่อสัปดาห์ และไม่ควรนั่งอยู่เฉย ๆ หรือนอนเล่นพักผ่อนเกิน 90 นาที หากเกินควรลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบท
การใช้ยา

การรักษาโรคเบาหวานโดยการใช้ยา แพทย์จะพิจารณาจากชนิดของโรคเบาหวาน เช่น เบาหวานชนิดที่ 1 ควรรักษาโดยการฉีดอินสุลินเท่านั้น ส่วนในเบาหวานชนิดที่ 2 แพทย์จะพิจารณาตามความรุนแรงของโรคและภาวะแทรกซ้อน โอกาสการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ และเศรษฐานะของผู้ป่วยเพื่อประกอบการพิจารณาในการเลือกใช้ยา


โรคเบาหวานป้องกันได้หรือไม่

ในปัจจุบันยังไม่สามารถป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ได้ แต่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 นั้นสามารถป้องกันได้แล้ว มีการศึกษาหลายการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การนำผู้ที่มีภาวะเสี่ยงที่จะเกิดเบาหวานมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด จนมีน้ำหนักตัวที่ลดลงอย่างน้อย 7-10% ของน้ำหนักตัวเดิม สามารถลดอัตราการเกิดโรคเบาหวานลงได้อย่างมีนัยสำคัญ


โรคเบาหวานสามารถหายขาดได้หรือไม่

ในอดีตความสามารถในการรักษาโรคเบาหวานมีเพียงการควบคุม และการลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานเท่านั้น ไม่สามารถรักษาโรคเบาหวานให้หายขาดได้ แต่ในปัจจุบัน ได้มีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง จนพบว่ามีวิธีการรักษาผู้ป่วยเบาหวานให้หายขาดได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาไม่นาน ได้แก่การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีโรคอ้วนร่วมด้วย พบว่านอกจากจะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังสามารถทำให้หายขาดจากโรคเบาหวานได้ในผู้ป่วยบางราย อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดกระเพาะอาหารดังกล่าว ไม่สามารถทำได้ทุกคน และอาจมีผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตามมา แพทย์จึงเลือกทำการผ่าตัดในผู้ป่วยบางรายที่มีความจำเป็นเท่านั้น

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง และพบอุบัติการณ์การเกิดโรคเพิ่มขึ้นทุกวัน แม้จะเป็นโรคที่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมาได้มากมาย แต่ก็เป็นโรคที่สามารถควบคุมได้ หากผู้ป่วยทำความเข้าใจกับตัวโรค และให้ความร่วมมือในการรักษา ก็จะทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีใกล้เคียงกับคนปกติได้


ชนิดของโรคเบาหวาน อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://doctorathome.com/disease-conditions/278

743

ปลาปักเป้าและแมงดาถ้วยมีสารพิษชนิดเดียวกัน คือ เทโทรโดท็อกซิน (tetrodotoxin)* สะสมอยู่ในตัวการรับพิษจากสัตว์น้ำทั้ง 2 ชนิดนี้ จึงมีอาการแสดงเหมือนกัน และมีวิธีการดูแลรักษาแบบเดียวกัน

ในบ้านเรามีรายงานผู้ที่ป่วยและตายจากการกินปลาปักเป้า (ทั้งปลาน้ำจืดและปลาทะเล) และแมงดาถ้วยเป็นครั้งคราว พบได้ในคนทุกวัย มักพบเป็นพร้อมกันหลายคนที่กินสัตว์น้ำพวกนี้ด้วยกัน

ปลาปักเป้า (ปลาเนื้อไก่ก็เรียก) ปกติมีลักษณะเหมือนปลาทั่วไป รอบตัวมีหนามสั้นหรือยาวแล้วแต่ชนิด เมื่อถูกรบกวนจะพองตัวคล้ายลูกโป่งหรือทุเรียนที่มีหนามแหลม พบทั้งในน้ำจืด (ตามแม่น้ำ ลำธาร ห้วย หนอง คลอง บึง เช่น ปักเป้าเขียว ปักเป้าเหลือง ปักเป้าทอง) และน้ำทะเล (บริเวณอ่าวไทย เช่น ปักเป้าหนามทุเรียน ปักเป้าดำ ปักเป้าเเดง ปักเป้าดาว ปักเป้าหลังเเก้ว)

มีชื่อภาษาอังกฤษ เช่น puffer fish, globe fish, balloon fish, swell fish, toad fish เป็นต้น

มีชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า "ฟูหงุ"

ปลาปักเป้าทะเลจะมีพิษมากในไข่ ตับ ลำไส้ หนังส่วนในเนื้อปลามีพิษน้อยหรือไม่มี ปลาปักเป้าน้ำจืด มีพิษมากที่สุดในหนัง รองลงมาในไข่ เนื้อปลา ตับ ลำไส้ ตามลำดับ พิษจะมีมากขึ้นในฤดูวางไข่

เเมงดาถ้วย (แมงดาไฟหางกลม แมงดาไฟ เหรา, horseshoe crab) ลักษณะตัวเล็ก หางกลมเรียว ไม่มีหนาม อยู่ตามป่าชายเลน มีพิษโทรโดท็อกซินเช่นเดียวกับปลาปักเป้า พิษจะมีมากในไข่เเมงดามากกว่าในเนื้อ นิยมนำมายำหรือเเกงกิน

ส่วนแมงดาทะเลที่ไม่มีพิษคือ เเมงดาจาน (แมงดาหางเหลี่ยม, giant king crab) มีลักษณะตัวใหญ่ หางเหลี่ยม มีหนามเล็กน้อย อยู่ในทะเลน้ำลึก

*เทโทรโดท็อกซิน เป็นสารที่มีพิษต่อประสาทร้ายแรงรองลงมาจากพิษโบทูลินและบาดทะยัก มีฤทธิ์ขัดขวางการทำงานของระบบประสาท โดยการปิดกั้นช่องทางโซเดียม (sodium channel inhibitor) ของเซลล์ประสาท โซเดียมจึงไม่ถูกดูดกลับเข้าไปในเซลล์ ทำให้ไม่เกิดคลื่นกระแสไฟฟ้ากระจายไปตามเส้นประสาทได้ รวมทั้งออกฤทธิ์ยับยั้งการส่งผ่านสัญญาณประสาทจากส่วนกลางไปที่จุดเชื่อมต่อประสาทกับกล้ามเนื้อ มีผลต่อประสาทรับความรู้สึก ประสาทบังคับกล้ามเนื้อ และประสาทอัตโนมัติ ทำให้เกิดอาการชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง และอาการอื่น ๆ ผู้ป่วยมักจะตายจากการหยุดหายใจเนื่องจากกล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาต การรับพิษขนาด 2 มก. สามารถทำให้เสียชีวิตได้
 
นอกจากปลาปักเป้าและแมงดาถ้วยแล้ว พิษชนิดนี้พบในสัตว์ทะเลอื่น ๆ เช่น หมึกสายบางชนิด หอยกาบเดี่ยวบางชนิด กบ และปลาบางสายพันธุ์ เป็นต้น พิษเทโทรโดท็อกซินเกิดจากการสังเคราะห์ของแบคทีเรียหลายชนิดที่อาศัยอยู่ในสัตว์เหล่านั้น โดยไม่เป็นพิษกับมัน (แต่จะใช้พิษในการทำร้ายสัตว์อื่นและป้องกันตนเอง)
 
พิษชนิดนี้สามารถทนต่อความร้อนได้สูง การต้ม ทอด ปิ้ง ย่างให้สุก ไม่สามารถทำลายพิษได้ และในปัจจุบันยังไม่มียาหรือเซรุ่มที่ใช้แก้พิษชนิดนี้

สาเหต
เกิดจากการบริโภคปลาปักเป้าและแมงดาถ้วย โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

อาการ
เกิดหลังกินปลาปักเป้าหรือแมงดาถ้วย 10-45 นาที บางรายอาจนานถึง 12-20 ชั่วโมง ขึ้นกับปริมาณพิษที่ได้รับ ถ้ากินพิษเข้าไปมาก อาการก็จะเกิดเร็ว

แรกเริ่มจะรู้สึกชาและเสียวแปลบ ๆ ที่ริมฝีปากและลิ้นก่อน คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ มึนงง ตัวลอย ๆ บางรายอาจมีอาการปวดท้อง ถ่ายเป็นน้ำร่วมด้วย

ระยะต่อมาอาการชาจะลุกลามไปที่ใบหน้า แขนขา และปลายมือปลายเท้า ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ย ไม่ค่อยมีแรง จนลุกขึ้นยืนหรือเดินไม่ได้ และอาจรู้สึกแน่นอึดอัดหายใจไม่ออก

ถ้ารับพิษมากอาการจะรุนแรงมากขึ้น มีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมากขึ้น โดยเริ่มจากไม่สามารถเคลื่อนไหวแขนขาตามที่ต้องการได้ ตามมาด้วยอาการกลืนลำบาก พูดลำบาก ตะกุกตะกักจนกระทั่งพูดไม่ได้ (เนื่องจากกล้ามเนื้อคอหอยและกล่องเสียงเป็นอัมพาต) ระยะนี้ผู้ป่วยยังรู้สึกตัวดี

ระยะสุดท้าย ผู้ป่วยจะหายใจไม่ได้หรือหยุดหายใจ (เนื่องจากกล้ามเนื้อกะบังลม หน้าอก และท้องเป็นอัมพาต) ตัวเขียวและหมดสติ ถ้าไม่ได้รับการรักษาก็จะเสียชีวิตในเวลารวดเร็ว

ความรุนแรงและระยะของโรคขึ้นกับปริมาณพิษที่ได้รับ

ถ้ากินพิษมาก อาการจะลุกลามรวดเร็ว และอาจเสียชีวิตภายใน 20-30 นาทีหลังจากเริ่มมีอาการชาที่ปาก บางรายอาจเสียชีวิตภายใน 4-6 ชั่วโมง หรือภายใน 24 ชั่วโมง

แต่ถ้าภายหลัง 24 ชั่วโมงหลังเกิดอาการผู้ป่วยสามารถรอดชีวิตมาได้ ก็มักจะค่อย ๆ ฟื้นคืนสู่ปกติได้เอง ซึ่งอาจใช้เวลา 24-48 ชั่วโมง


ภาวะแทรกซ้อน
ที่ร้ายแรง คือ ภาวะการหายใจล้มเหลว ซึ่งเป็นสาเหตุการตายของผู้ป่วย อาจมีโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนเนื่องจากการสำลัก


การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการบริโภค และสิ่งตรวจพบ ดังนี้

มักตรวจพบอาการชาและกล้ามเนื้ออ่อนแรง แขนขาเป็นอัมพาต พูดลำบาก กลืนลำบาก

อาจพบภาวะขาดน้ำจากอาการอาเจียน ท้องเดิน

ถ้ารุนแรงจะพบตัวเขียว หายใจไม่ได้ ชักหรือหมดสติ ชีพจรเต้นช้า (มักน้อยกว่า 40 ครั้ง/นาที) ความดันโลหิตต่ำ รูม่านตาขยาย 2 ข้าง ไม่มีปฏิกิริยาต่อแสง


การรักษาโดยแพทย์
แพทย์จะให้การรักษาขั้นพื้นฐาน (อ่านเพิ่มเติมที่ "การรักษาขั้นพื้นฐาน (ที่สถานพยาบาล) สำหรับผู้ป่วยที่กินสัตว์หรือพืชพิษ" ด้านล่าง) และรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล และเฝ้าติดตามดูอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด

เนื่องจากไม่มียาแก้พิษโดยเฉพาะ จึงให้การรักษาแบบประคับประคองและแก้ไขตามอาการที่พบต่อไป เช่น ในรายที่หายใจไม่ได้ ต้องใส่ท่อหายใจ และใช้เครื่องช่วยหายใจ จนกว่าพิษจะถูกขับออกจากร่างกายจนหมด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 9-12 ชั่วโมง

แพทย์จะให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำแก่ผู้ป่วยทุกราย

ถ้าความดันโลหิตต่ำมาก ให้ยากระตุ้นความดัน เช่น โดพามีน

ถ้าชีพจรเต้นช้า ให้อะโทรพีน หากไม่ได้ผลอาจต้องใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemaker)

บางรายอาจให้นีโอสติกมีน (neostigmine) หรืออีโดรโฟเนียม (edrophonium) ช่วยให้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงดีขึ้น

ผลการรักษา หากได้รับการช่วยเหลือได้ทัน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขอาการหายใจไม่ได้เนื่องจากกล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาต) ผู้ป่วยมักจะรอดชีวิต และฟื้นหายเป็นปกติภายใน 24-48 ชั่วโมง


การรักษาขั้นพื้นฐาน (ที่สถานพยาบาล) สำหรับผู้ป่วยที่กินสัตว์หรือพืชพิษ
 
1. ถ้าผู้ป่วยกินสัตว์หรือพืชพิษมาไม่เกิน 1 ชั่วโมง และยังไม่อาเจียน รีบทำให้ผู้ป่วยอาเจียนด้วยการให้ไอพีเเคกน้ำเชื่อมหรือใช้นิ้วล้วงคอ

2. ให้ผู้ป่วยกินผงถ่านกัมมันต์ (activated charcoal) ขนาด 1 กรัม/กก. โดยผสมน้ำ 1 แก้ว โดยให้ผู้ป่วยดื่มเอง ถ้าอาเจียนหรือดื่มเองไม่ได้ ให้ป้อนผ่านท่อสวนกระเพาะ (stomach tube) ถ้าผู้ป่วยหมดสติ ควรใส่ท่อช่วยหายใจก่อนเพื่อป้องกันการสำลัก

ควรให้เร็วที่สุดเมื่อพบผู้ป่วย (วิธีนี้จะได้ผลมากที่สุดเมื่อให้กินภายใน 30 นาทีหลังกินสัตว์หรือพืชพิษ) ไม่ควรให้ก่อนหรือหลังให้ยาที่ทำให้อาเจียน

ในรายที่รับพิษร้ายเเรง เช่น ปลาปักเป้า แมงดาถ้วย เห็ดพิษร้ายแรง หรือสงสัยรับพิษปริมาณมาก ควรให้ซ้ำทุก 4 ชั่วโมง

3. ทำการล้างกระเพาะอาหารด้วยน้ำเกลือนอร์มัลหรือน้ำ

วิธีนี้จะได้ผลดี เมื่อผู้ป่วยกินสารพิษมาไม่เกิน 1 ชั่วโมง และไม่มีอาการอาเจียน ถ้าทำหลังกินสารพิษมากกว่า 4 ชั่วโมง อาจไม่ได้ประโยชน์และไม่คุ้มกับผลข้างเคียง (ที่สำคัญคือ การสำลักเข้าปอดทำให้ปอดอักเสบ)

ควรกระทำโดยบุคลากรที่ชำนาญ และในที่ที่มีความพร้อม

ไม่จำเป็นต้องทำ ถ้าผู้ป่วยมีอาการอาเจียนมาก และห้ามทำในผู้ป่วยชัก ไม่ค่อยรู้ตัว หมดสติ

อาจให้ผงถ่านกัมมันต์กินก่อนล้างกระเพาะ หรือผสมผงถ่านกัมมันต์ในน้ำล้างกระเพาะก็ได้

4. ให้ผู้ป่วยดื่มโซเดียมไบคาร์บอเนต ขนาด 2-5% จำนวน 50 มล.

5. ให้กินยาระบาย ซอร์บิทอล (sorbitol) ขนาด 70% อาจกินเดี่ยว ๆ หรือผสมกับผงถ่านกัมมันต์แทนน้ำก็ได้ ถ้าไม่มีอาจให้ยาระบายอื่น ๆ เช่น ยาระบายแมกนีเซีย (Milk of Magnesia) แทน ให้ได้ไม่เกิน 2 ครั้ง

ห้ามทำ ในรายที่มีอาการถ่ายท้องมากอยู่แล้ว หรือมีภาวะขาดน้ำที่ยังไม่ได้รับการทดแทน

6. ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ

7. ถ้าชักฉีดไดอะซีเเพม 5-10 มก.เข้าหลอดเลือดดำ

8. ถ้าหยุดหายใจหรือหายใจไม่ได้ ให้ทำการช่วยเหลือด้วยการเป่าปาก หรือใช้เครื่องช่วยหายใจ

9. ถ้าหมดสติ ให้การรักษาแบบหมดสติ


การดูแลตนเอง

หากสงสัยว่าผู้ป่วยเกิดอาการพิษปลาปักเป้าหรือพิษแมงดาถ้วย ควรทำการปฐมพยาบาล แล้วรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที

การปฐมพยาบาล สำหรับผู้ป่วยที่กินสารพิษ สัตว์พิษ หรือพืชพิษ

1. รีบทำให้ผู้ป่วยอาเจียน เพื่อขับพิษออก

    ถ้ามียากระตุ้นอาเจียน ได้แก่ ไอพีแคกน้ำเชื่อม (syrup ipecac) ให้กินครั้งละ 15-30 มล. (เด็กโต 15 มล.) และดื่มน้ำตามไป 1 แก้ว ถ้ายังไม่อาเจียนใน 20 นาที กินซ้ำได้อีก 1 ครั้ง
    ถ้าไม่มียา ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ 1 แก้ว แล้วใช้นิ้วล้วงเข้าไปเขี่ยที่ผนังลำคอกระตุ้นให้อาเจียน ถ้าไม่ได้ผลทำซ้ำอีกครั้ง

ควรเก็บเศษอาหารที่อาเจียน ไว้ส่งตรวจวิเคราะห์

วิธีนี้จะได้ผลดี ต้องรีบทำภายใน 1 ชั่วโมงหลังกินสารพิษ และไม่ต้องทำหากผู้ป่วยมีอาการอาเจียนเองอยู่แล้ว

ห้ามทำ ในผู้ป่วยที่ชัก ไม่ค่อยรู้ตัวหรือหมดสติ หรือกินกรด ด่าง น้ำมันก๊าด ทินเนอร์ หรือสารพิษไม่ทราบชนิด

2. ถ้ามีผงถ่านกัมมันต์ (activated charcoal) ให้กินขนาด 1 กรัม/กก. โดยผสมน้ำ 1/2-1 แก้ว เพื่อลดการดูดซึมสารพิษเข้าร่างกาย (ไม่ต้องทำถ้าผู้ป่วยกินกรด ด่าง น้ำมันก๊าด ทินเนอร์)

ถ้าไม่มีผงถ่านกัมมันต์ ให้กินไข่ดิบ 5-10 ฟอง หรือดื่มนมหรือน้ำ 4-5 แก้ว

3. สำหรับผู้ป่วยที่กินพาราควอต ให้กินสารละลายดินเหนียว (Fuller’s earth) โดยผสมผงดินเหนียว 150 กรัม หรือ 2 1/2 กระป๋อง ในน้ำ 1 ลิตร ถ้าไม่มีให้ดื่มน้ำโคลนดินเหนียวจากท้องร่องในสวน (ที่ไม่มีตะปูหรือเศษแก้ว หรือสารพิษตกค้าง) ซึ่งจะลดพิษของยานี้ได้

4. สำหรับผู้ที่กินปลาปักเป้า แมงดาถ้วย ปลาทะเลพิษ หอยทะเลพิษ เห็ดพิษ ให้ดื่มโซเดียมไบคาร์บอเนตขนาด 2-5% จำนวน 50 มล. (อาจเตรียมโดยผสมผงฟู 1-2.5 กรัม ในน้ำ 50 มล.) ซึ่งจะช่วยลดพิษของอาหารพิษได้

ห้ามทำ ข้อ 2-4 ถ้าผู้ป่วยชัก ไม่ค่อยรู้ตัวหรือหมดสติ

5. ถ้าผู้ป่วยมีภาวะขาดน้ำ ให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ

6. ถ้าผู้ป่วยชักหรือหมดสติ ให้ทำการปฐมพยาบาลเช่นเดียวกับผู้ป่วยชัก (อ่านใน "โรคลมชัก" เพิ่มเติม) หรือหมดสติ (อ่านใน "อาการหมดสติ" เพิ่มเติม)

7. รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาล ควรนำสารพิษที่ผู้ป่วยกินหรืออาเจียนออกมาไปให้แพทย์ตรวจวิเคราะห์ด้วย


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการกินปลาปักเป้าทุกชนิด และแมงดาทะเล (โดยเฉพาะอย่างยิ่งแมงดาถ้วย หรือไม่แน่ใจว่าเป็นแมงดาชนิดใด) ไม่ว่าจะปรุงหรือทำให้สุกด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม

2. ในบ้านเรามีรายงานผู้ป่วยเป็นพิษปลาปักเป้าจากการบริโภคอาหารที่มีเนื้อปลาประกอบ เช่น ก๋วยเตี๋ยวปลา ข้าวต้มปลา ต้มยำปลา ปลาผัดขึ้นฉ่าย ผัดกระเพราปลา สเต๊กปลา ไข่ปลา (สด ต้มยำ ทอด หรือต้ม) ปลาร้า เป็นต้น เนื่องจากผู้จำหน่ายนำเนื้อปลาปักเป้ามาเจือปนในอาหาร ดังนั้น จึงควรระมัดระวังในการบริโภคอาหารที่ทำจากเนื้อปลาตามร้านอาหาร และควรบริโภคเนื้อปลาที่ทราบชนิดแน่ชัดว่าไม่ใช่ปลาปักเป้า


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ในระยะแรกอาจมีอาการแบบอาหารเป็นพิษ (คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน) แต่มักมีอาการชาที่ริมฝีปาก ลิ้น ใบหน้า และแขนขาร่วมด้วย ดังนั้น เมื่อพบผู้ป่วยมีอาการอาหารเป็นพิษ ควรซักถามอาการชา และประวัติอาหารการกิน ควรส่งโรงพยาบาลทันทีโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้ประวัติว่าผู้ป่วยกินปลาปักเป้าหรือแมงดาถ้วยก่อนมีอาการ

2. เมื่อพบผู้ป่วยเป็นโรคนี้ ไม่ว่าจะมีอาการรุนแรงมากน้อยเพียงใด ก็ควรส่งตัวเข้าไปรักษาอยู่ในโรงพยาบาล และเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง โดยทั่วไปถ้าผู้ป่วยสามารถรอดชีวิตได้ภายหลัง 24 ชั่วโมงหลังมีอาการ ก็มักจะหายได้เป็นปกติ

3. ควรให้ความรู้แก่คนทั่วไปให้ทราบถึงพิษภัยจากการกินปลาปักเป้าและแมงดาทะเล และอาการแสดงของโรคนี้ เพื่อให้รู้จักระวังตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริโภคอาหารที่มีเนื้อปลาเป็นส่วนประกอบและอาหารทะเลตามร้านอาหาร (แม้จะเตรียมให้สุก พิษก็ไม่ถูกทำลาย) ถ้าพบว่ามีอาการแบบอาหารเป็นพิษ และรู้สึกชาที่ริมฝีปาก (อาจร่วมกับชาที่ลิ้น ใบหน้า) หลังบริโภคอาหารเหล่านี้ ก็ควรรีบไปโรงพยาบาลโดยเร็ว

4. โรคนี้มีอาการคล้ายโรคโบทูลิซึม คือ มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นอัมพาตและหยุดหายใจ ต่างกันตรงการเรียงลำดับ โรคนี้จะเป็นจากส่วนปลายเข้าหาส่วนกลาง (ascending paralysis) คือ เริ่มจากแขนขาก่อนแล้วไปที่หน้า (คอหอยกับกล่องเสียง) และไปสิ้นสุดที่หน้าอก หน้าท้อง (หยุดหายใจ)

ส่วนโบทูลิซึมจะเป็นจากบนลงล่าง (descending paralysis) คือ เริ่มที่หน้า (ตา คอหอย กล่องเสียง) ก่อน ค่อยลงมาที่หน้าอก หน้าท้อง (หยุดหายใจ) แล้วไปสิ้นสุดที่แขนขา

นอกจากนี้ โรคนี้จะมีอาการชาที่ปาก ลิ้น หน้า และแขนขา ขณะที่อีกโรคหนึ่งไม่มีอาการชา



โปรแกรมหมอประจำบ้านอัจริยะ: พิษปลาปักเป้า (Puffer fish poisoning) อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://doctorathome.com

744
เมื่ออายุมากขึ้นปัญหาสุขภาพก็มักติดตามมาอย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูงที่พบบ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งมักจะไม่แสดงอาการภายนอกให้เห็น แต่ภายในได้รับความเสียหายบริเวณหลอดเลือดและหัวใจเป็นอย่างมาก รวมทั้งยังเป็นต้นเหตุของโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด หรือโรคไตวายเรื้อรัง โดยความผิดปกติอย่างหลังนี้นอกจากจะอันตรายถึงแก่ชีวิตแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพการดำเนินชีวิตประจำวันอีกด้วย

ว่าแต่ภาวะความดันโลหิตสูงกับโรคไตวายเรื้อรัง ทั้งสองมีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร แล้วจะมีวิธีการรักษาทางการแพทย์ใดบ้างที่ช่วยให้ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นกว่าเดิม ถ้าอยากรู้ บทความนี้มีคำตอบ เอาล่ะอย่ารอช้า เราไปดูคำตอบที่ว่าพร้อมๆ กันเลย!


สาเหตุการเกิดโรคความดันโลหิตสูง

ทางการแพทย์จะแบ่งโรคความดันโลหิตสูงออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่แน่ชัด (Essential Hypertension) ซึ่งมักพบมากในผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่คนในครอบครัวมีประวัติการเป็นโรคความดันโลหิตสูง ส่วนชนิดที่สองคือความดันโลหิตสูงแบบทราบสาเหตุ (Secondary Hypertension) โดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่าง ๆ ที่มากระตุ้นจนทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง เช่น โรคทางต่อมไร้ท่อ โรคทางต่อมหมอกไต โรคไตอักเสบที่ต่อมาพัฒนากลายเป็นโรคไตวายเรื้อรัง อาการครรภ์เป็นพิษ หรือผลกระทบจากการทานยาบางชนิดเป็นเวลานาน ฯลฯ


ความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง 

แต่อย่างไรก็ตาม ความดันโลหิตชนิดแรกพบได้บ่อยกว่าชนิดที่สองอยู่ดี เพราะมีสาเหตุการเกิดโรคที่กว้างขวางกว่ามาก ไม่ว่าจะประวัติการเป็นโรคความดันโลหิตสูงของคนในครอบครัวหรืออายุที่มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสริมอื่นๆ อีกด้วย เช่น การทานอาหารที่มีรสเค็มจัดๆ อย่างอาหารแปรรูป, การพักผ่อนน้อย และไม่ออกกำลังกาย เป็นต้น


อาการของโรคความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง   

โดยส่วนมากจะไม่แสดงอาการภายนอกให้เห็น ซึ่งผู้ป่วยหลายรายก็แทบจะไม่รู้ตัวเองเลยว่ากำลังเป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่จนกว่าจะได้วัดความดันโลหิตอย่างจริงจัง หากแต่ผู้ป่วยอาจแสดงอาการตอบสนองอื่น ๆ ออกมาเมื่อมีภาวะความดันโลหิตสูงมากๆ เช่น อาการปวดศีรษะบริเวณท้ายทอย, อาการมึนงง, คลื่นไส้อาเจียน หรือหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม ซึ่งผู้ป่วยสามารถเช็กภาวะความดันโลหิตสูงจากที่บ้านเองได้ โดยให้สังเกตค่าการวัดความดันจากตัวเครื่อง หากความดันตัวบนมีค่ามากกว่า 130 และค่าตัวล่างมีมากกว่า 80 มิลลิเมตรปรอท นั่นก็แปลว่าผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูง


ความสัมพันธ์ระหว่างโรคความดันโลหิตสูงและโรคไตวายเรื้อรัง

การที่ภายในร่างกายมีความดันในเลือดสูงมาก ก็อาจส่งผลให้เส้นเลือดทั่วร่างกายถูกทำลายและสร้างความเสียหายต่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ได้ เช่น เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด, เส้นเลือดสมองตีบหรือแตก รวมถึงการทำงานของไตเสื่อมสภาพลงจนก่อให้เกิดโรคไตวายเรื้อรังในเวลาต่อมา


วิธีการดูแลรักษาภาวะความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง

ขั้นตอนการรักษามีด้วยกัน 2 วิธีคือ การทานยาที่แพทย์สั่งจ่ายให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ ได้แก่ การงดอาหารรสเค็ม อาหารแปรรูป น้ำซุป อาหารทอด หรืออาหารหมักดอง เป็นต้น เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีส่วนผสมของเหลือ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยยังต้องพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียด หมั่นออกกำลังกาย งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เนื่องจากหากไม่ปฏิบัติตามไตอาจเสื่อมและกลายเป็นโรคไตวายเรื้อรังได้ในท้ายที่สุด

ความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง ดูแลอย่างไร

ถัดมาในส่วนของอาหารจำพวกที่มีกากใยสูงอย่าง ผักและผลไม้สด แพทย์แนะนำให้รับประทานเป็นประจำเพราะสามารถช่วยลดภาวะความดันโลหิตสูงลงได้ แต่จากเนื่องด้วยสภาพสังคมในปัจจุบันที่เร่งรีบ ผนวกกับความเครียดสะสม จึงทำให้แม้คุณจะอายุยังน้อยก็มีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้ด้วยเช่นกัน และหากเราไม่สามารถควบคุมความดันให้กลับมาอยู่ในระดับปกติได้ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสการเกิดโรคไตวายเรื้อรังได้รวดเร็วกว่าปกติ

ข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังในการป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง

    เลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด และทานอาหารจำพวกผักผลไม้ให้มากขึ้น
    ไม่แนะนำให้ซื้อยาทานเอง เช่น ยาสมุนไพร, ยาแก้ปวด หรือยาคลายกล้ามเนื้อ แต่ควรมาปรึกษาแพทย์เพื่อดูอาการก่อนจะดีกว่า
    ตรวจความดันโลหิตบ้างเป็นครั้งคราว เพราะหากพบความผิดปกติจะได้รีบทำการรักษาโดยทันที


สรุป

โรคความดันโลหิตสูงมีด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่ แบบทราบและไม่ทราบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด ซึ่งอย่างหลังมักพบมากในผู้สูงอายุและผู้ที่คนในครอบครัวมีประวัติการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โดยหากปล่อยไว้อาจส่งผลให้ไตทำงานผิดปกติ ตลอดจนกลายเป็นโรคไตวายเรื้อรังในท้ายที่สุด ฉะนั้น สำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่มีภาวะความดันโลหิตสูง แพทย์จึงแนะนำให้ทานผักผลไม้มาก ๆ งดอาหารรสเค็ม, ไม่ซื้อยาทานเอง และหมั่นออกกำลังกาย เพื่อเป็นการลดระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย



โรคความดันโลหิตสูง มีความเกี่ยวข้องกับโรคไตวายเรื้อรังอย่างไร? อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://doctorathome.com/disease-conditions/247

745
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เปิดตัวรถกระบะเป็นครั้งแรกในปี 2521 โดยในช่วง 45 ปีที่ผ่านมา ได้ผลิตรถกระบะมาแล้วกว่า 5.6 ล้านคัน ครอบคลุมทั้งหมด 5 เจเนอเรชั่น วางจำหน่ายใน 150 ประเทศทั่วโลก จึงทำให้รถกระบะมิตซูบิชิ ไทรทัน นับเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระดับโลกของบริษัท

โดย ออล-นิว ไทรทัน จะเป็นรถกระบะเจเนอเรชั่นที่ 6 ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งคันเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี ปฏิวัติทุกอณู ! พลิกโฉมทุกมิติ ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นทั้งภายนอกและภายใน ทั้งการพัฒนาเฟรมหรือโครงรถใหม่ แชสซีใหม่ ช่วงล่างใหม่ และเครื่องยนต์ใหม่

    ฟินแลนด์ระงับการให้วีซ่าแรงงานเก็บผลไม้ป่าทุกคนจากไทย
    เหล้าเบียร์ 5 แสนล้านสะเทือน สิงห์-ช้างอ่วม กฎหมายใหม่ห้ามโฆษณา
    แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จุลพันธ์ แจ้งคืบหน้า รอประชุมอีก 2 นัด

ฟีเจอร์เด่น ใน “ออล-นิว ไทรทัน” เริ่มตัวถังดีไซน์ใหม่ ใหญ่ขึ้นและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม พร้อมเฟรมหรือโครงรถที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ ให้ความแข็งแกร่งทนทานและอุ่นใจได้ในทุกเส้นทาง และเครื่องยนต์ใหม่ ! ให้ขุมพลังแรงเร็วเต็มสมรรถนะ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

ช่วงล่างใหม่ มอบการขับขี่ที่นุ่มนวล เกาะถนน ปลอดภัยยิ่งกว่าด้วยเสถียรภาพการทรงตัวและการควบคุมรถที่ดีเยี่ยม พร้อมด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และระบบควบคุมการขับขี่ที่ได้รับการพัฒนาให้เหนือชั้นมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์การขับขี่บนสภาพถนนทุกรูปแบบ

รูปลักษณ์โดดเด่นด้วยดีไซน์แข็งแกร่งโฉบเฉี่ยว พร้อมห้องโดยสารภายในที่กว้างขวางและตกแต่งอย่างมีสไตล์ รองรับการใช้งานที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการแบบอเนกประสงค์ ยกระดับความปลอดภัยและความสะดวกสบายสุดพรีเมี่ยม เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่การใช้งานแบบรถส่วนตัว และการใช้งานเชิงพาณิชย์

ออล-นิว ไทรทัน มีตัวถังให้เลือกหลากหลายรูปแบบ รองรับความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันของทั้ง 7 กลุ่มตลาดรถในประเทศไทย : ตัวถังดับเบิลแค็บ มาพร้อมเบาะ 2 แถว มอบทั้งความสะดวกสบายแบบรถเอสยูวีและความอเนกประสงค์แบบรถกระบะ ขณะที่ตัวถังซิงเกิลแค็บ (ตอนเดียว) มีเบาะคู่หน้า และตัวถังเมกะแค็บ (ตอนครึ่ง) มีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง ช่วยให้ปรับเอนเบาะคู่หน้าได้สะดวกขึ้น ด้วยตัวถังที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์คลีนดีเซล เทอร์โบ 2.4 ลิตร Hyper Power ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อมอบที่สุดของพละกำลังและความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โครงสร้างรถเมกะเฟรมใหม่ รวมถึงช่วงล่าง และชิ้นส่วนอื่น ๆ ล้วนได้รับสร้างสรรค์ขึ้นใหม่จากเทคโนโลยีล้ำสมัยเอกสิทธิ์เฉพาะมิตซูบิชิ มอเตอร์ส

เพื่อมอบสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่าด้วยฟีเจอร์พิเศษต่าง ๆ อาทิ โหมดการขับขี่ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (active yaw control : AYC) ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ super select 4WD-II อันเป็นเอกลักษณ์ของมิตซูบิชิ รวมถึงระบบความปลอดภัยที่ครบครัน อาทิ ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

สำหรับตลาดประเทศไทย ออล-นิว ไทรทัน เริ่มจำหน่าย ในราคาที่สัมผัสได้แบบสุดคุ้ม

รุ่นซิงเกิลแค็บ ยกสูง ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 699,000 บาท รุ่นดับเบิลแค็บ ยกสูง ขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 820,000 บาท รุ่นดับเบิลแค็บ ยกสูง ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 1,016,000 บาท

ออล นิว ไทรทัน: Mitsubishi Triton เจน 6 ขายในไทย…ที่แรกของโลก อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.checkraka.com/car/mitsubishi/triton/

746
All-new Mitsubishi Triton เป็นรถกระบะขนาด 1 ตัน ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของ Mitsubishi Motors ในการสร้างยานพาหนะที่ปลอดภัย ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความอุ่นใจในขณะขับขี่บนถนนและสภาพอากาศที่หลากหลาย ด้วยแพล็ตฟอร์มใหม่ โครงสร้างหลักแบบขั้นบันไดที่ทนทานเป็นพิเศษ ระบบกันสะเทือนแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นสำหรับ All-New Triton ให้เสถียรภาพและการยึดเกาะดีขึ้น ระบบกันสะเทือนด้านหน้าดับเบิ้ลวิชโบนปีกนกคู่ ผสานกับระบบกันสะเทือนหลังแบบแหนบซ้อน เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแบบใหม่นั้น คาดว่า น่าจะนำเอาเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.3 ลิตร และระบบเกียร์ 7 สปีดของ Nissan. Navara มาพัฒนาต่อยอดเพื่อประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง

Yoshiki Masuda หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ Mitsubishi Motors กล่าวว่า “การออกแบบของ All-New Triton ครอบคลุมทุกแง่มุม ตั้งแต่เครื่องยนต์และช่วงล่างที่พัฒนาขึ้นใหม่ ไปจนถึงความโฉบเฉี่ยว ทรงพลัง และทันสมัย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานบนความสะดวกสบาย รับประกันความปลอดภัย

“ด้วยการพูดคุยเชิงลึกกับลูกค้า และการทดสอบอย่างเข้มงวดในสภาพการใช้งานจริง Mitsubishi ได้สร้างผลิตภัณฑ์ยานยนต์ปิกอัพที่ตอบสนองความต้องการที่เหนือความคาดหมาย มั่นใจว่า All-New Mitsubishi Triton ใหม่ปี 2023 จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วโลก ทั้งการใช้งานส่วนบุคคลและเพื่อการพาณิชย์ การเปิดตัวครั้งแรกของโลกกับ All-New Mitsubishi Triton จะมีการถ่ายทอดสดในวันพุธที่ 26 กรกฎาคม 2566 เวลา 10.00 น.
All-new Mitsubishi Triton เครื่องยนต์

Mitsubishi Motors Corporation พัฒนาซับเฟรมขั้นบันได แชสซีส์ และเครื่องยนต์ดีเซลสะอาดเพื่อปรับใช้กับรถกระบะขนาด 1 ตันรุ่นใหม่อย่าง Triton โดยพยายามเน้นการขับขี่ที่ปลอดภัย มั่นคง และสะดวกสบายในทุกสภาพอากาศและพื้นผิวถนน Tritonใหม่ เป็นรถปิกอัพขนาดหนึ่งตันที่รวบรวมเอาแก่นแท้ของรถยนต์ Mitsubishi ให้การขับขี่ที่สะดวกสบาย มีความปลอดภัยในสภาพอากาศและพื้นผิวถนนที่หลากหลายทั่วโลก โครงซับเฟรมแบบขั้นบันไดที่พัฒนาขึ้นใหม่ ระบบกันสะเทือนหน้าดับเบิ้ลวิชโบนปีกนกคู่ที่ออกแบบใหม่ ระบบกันสะเทือนหลังแบบแหนบ ให้สมรรถนะออฟโรดและการขับขี่ที่สะดวกสบาย เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลพัฒนาขึ้นใหม่ยังช่วยลดการสูญเสียกำลังจากแรงเสียดทาน ปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการปล่อยมลพิษให้ดีขึ้น และมีแรงบิดที่เพียงพอต่อการใช้งานทุกรูปแบบ

“Mitsubishi Triton โมเดลเชนจ์เต็มรูปแบบครั้งแรกในรอบ 9 ปี เครื่องยนต์ ช่วงล่าง งานตกแต่งภายในและภายนอกได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด รวมถึงประสิทธิภาพการขับ ความสะดวกสบาย ระบบความปลอดภัย และอื่นๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของรถยนต์ปิกอัพที่ใช้งานได้จริง Mitsubishi ทำการรวบรวมข้อมูลของลูกค้าผู้ใช้งานที่มีความหลากหลาย ทั้งสภาพภูมิประเทศและสภาพอากาศ กับความต้องการของลูกค้า แล้วนำข้อมูลมาปรับปรุงเพื่อพัฒนาและทดสอบรถกระบะรุ่นใหม่ให้มีศักยภาพมากขึ้น เป็นรถอเนกประสงค์ที่ตอบสนองลูกค้าทั่วโลก ตั้งแต่การใช้งานเพื่อพักผ่อน ไปจนถึงการใช้งานเชิงพาณิชย์” Chief Product Specialist Yoshiki Masuda กล่าว


นอกเหนือจากประสิทธิภาพการใช้งานของรถกระบะ ความทนทาน และสมรรถนะแบบออฟโรดที่ดีแล้ว All-new Mitsubishi Triton ถูกออกแบบให้มีความสะดวกสบายในการขับขี่ สำหรับการใช้งานเป็นรถยนต์ส่วนตัว Triton เจเนอเรชันที่ 6 มีขนาดตัวรถที่ใหญ่ขึ้น ด้วยสไตล์ที่ทรงพลัง โทนสีใหม่ ด้านหน้ามีไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน DLR ที่มีรูปลักษณ์เฉียบคม การรวมกันของไฟหน้าแบบสามมิติด้านล่างโคมไฟ สร้างการออกแบบที่แสดงออกถึงรูปลักษณ์และความแข็งแกร่ง สวยจบในคันเดียว.

all new mitsubishi triton 2024: All-new Mitsubishi Triton แชสซี เครื่องยนต์ ช่วงล่าง ใหม่หมด อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.checkraka.com/car/mitsubishi/triton/

747
บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดสเปครถกระบะไทรทันใหม่ 2 รุ่นท็อป ได้แก่ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ “ไฮเปอร์พาวเวอร์ เอ็กซ์ทู” (Hyper Power X2) อันทรงพลัง ด้วยพละกำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร และ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ ขับเคลื่อน 4 ล้อ อัลตร้า เกียร์อัตโนมัติ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ “ไฮเปอร์พาวเวอร์” (Hyper Power) กำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ให้อัตราประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม


มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้ออกแบบออล-นิว ไทรทัน ทุกรุ่นขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อตอบโจทย์ความเป็นรถปิกอัพส่วนตัวสำหรับคนยุคใหม่ โดยเน้นที่ความสะดวกสบายสุดหรูของห้องโดยสาร เติมเต็มสุนทรียภาพขณะขับขี่ให้เทียบเคียงได้กับรถเอสยูวียุโรป พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ครบครัน ตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูงให้ความนุ่มนวลทุกสัมผัสจับถนัดคล่องตัว ทั้งยังมีเบาะดีไซน์ใหม่ที่ช่วยโอบอุ้มสรีระลดความเหนื่อยล้าแม้ต้องขับในระยะไกล ผสานช่วงล่างใหม่ แชสซีส์ใหม่ที่ใหญ่ขึ้น และเฟรมใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม (เมกาเฟรม) ให้สมรรถนะการขับขี่ที่นุ่มสบาย คล่องตัวทั้งในเมืองและขณะเดินทางไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ออล-นิว ไทรทัน แอทลีท ที่สุดของรถปิกอัพสไตล์สปอร์ต โดดเด่นทั้งภายนอกและภายใน สะกดทุกสายตาด้วยเส้นสายที่คมเข้ม ขณะที่ ออล-นิว ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ อัลตร้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ ได้รับการออกแบบในสไตล์โฉบเฉี่ยว หล่อเข้มไม่ซ้ำใคร


เทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน ไดมอนด์ เซนส์ ที่มาพร้อมกับระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ (Diamond Sense with Adaptive Cruise Control)

ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ทั้งในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ และขับเคลื่อน 2 ล้อ และ ดับเบิ้ล แค็บ อัลตร้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน ไดมอนด์ เซนส์ ทีมีระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ (Diamond Sense with Adaptive Cruise Control) อันชาญฉลาด ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation System: FCM) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning: BSW) พร้อมระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Lane Change Assist: LCA) ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (Rear Cross Traffic Alert: RCTA) ระบบปรับระดับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ (Auto High Beam: AHB) กล้องมองภาพรอบคัน (Multi Around Monitor: MAM) ซึ่งเทคโนโลยีความปลอดภัยทั้งหมดนี้ สามารถตรวจจับการเคลื่อนที่ของตัวรถและสภาพแวดล้อมด้วยเซ็นเซอร์และเรดาร์ที่ควบคุมด้วยระบบ AI ได้รอบคัน เพื่อความปลอดภัยแบบ 360 องศา ทั้งยังมีระบบความปลอดภัยอื่นๆ ที่ช่วยให้ขับขี่ได้ง่ายดายควบคุมรถได้ดังใจ อาทิ ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS) ระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) ระบบเสริมแรงเบรก (BA) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC) ระบบป้องกันการลื่นไถล (TCL) ระบบลิมิเต็ดสลิปที่เฟืองท้ายแบบควบคุมด้วยเบรก (Active LSD) เสริมด้วยถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง


นอกจากนี้ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ยังมาพร้อมกับเครื่องยนต์ “ไฮเปอร์พาวเวอร์ เอ็กซ์ทู” (Hyper Power X2) ซึ่งมีระบบเทอร์โบสองสเตจ (Two-stage Turbocharger) และระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า (Electric Power Steering: EPS) ช่วยให้ขับขี่คล่องตัว ควบคุมได้ดังใจ โดยคุณสมบัติอันโดดเด่นทั้งหมดนี้เพียบพร้อมอยู่ใน ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ซึ่งมีสีตัวถังให้เลือก 4 สี คือ สีดำ Jet Black Mica สีเทา Graphite Grey สีขาว White Diamond และพิเศษกับสีส้ม Yamabuki Orange Metallic ที่เป็นสีเฉพาะของรุ่นแอทลีท โดดเด่น สะกดทุกสายตา และภายในห้องโดยสารยังคงดีไซน์สปอร์ตด้วยการตกแต่งทูโทนสีส้ม-ดำ

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ “ซูเปอร์ซีเล็คต์ โฟร์วีลไดร์ฟ ทู” (Super Select 4WD II) เจ้าเดียวในตลาดที่มี 4H ฟูลไทม์ เสริมด้วยระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) และ 7 โหมดการขับขี่


ออล-นิว ไทรทัน แอทลีท ขับเคลื่อน 4 ล้อ (DOUBLE CAB ATHLETE 4WD 2.4 AT) และ ออล-นิว ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ อัลตร้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ (DOUBLE CAB 2.4 ULTRA 4WD AT) พร้อมพาคุณไปให้สุดทุกสภาพถนน ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ “ซูเปอร์ซีเล็คต์ โฟร์วีลไดร์ฟ ทู” (Super Select 4WD II) อันเป็นเอกลักษณ์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส โดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อฟูลไทม์ (Full-Time All Wheel Control) ซึ่งสามารถเปลี่ยนโหมดจากระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นขับเคลื่อน 4 ล้อแบบฟูลไทม์ (4H) ได้ทันทีแม้ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง (Shift-on-the-Fly) เสริมความปลอดภัยให้ขับขี่คล่องตัวพร้อมตะลุยทุกสภาพอากาศและทุกรูปแบบของพื้นผิว ด้วย 7 โหมดการขับขี่ ได้แก่ โหมดปกติ (Normal), โหมดประหยัดเชื้อเพลิงและรักษ์โลก (Eco), โหมดขับขี่บนทางลูกรังหรือทางฝุ่น (Gravel), โหมดขับขี่บนพื้นหิมะหรือขณะฝนตกผิวถนนเปียกลื่น (Snow), โหมดขับขี่ลุยโคลนหรือผิวทางที่เหนียวลื่น (Mud), โหมดขับขี่ตะลุยทรายหรือผิวทางที่ดินร่วน (Sand), โหมดไต่หินหรือขับขี่บนผิวทางที่เป็นหินขรุขระ (Rock) และแตกต่างอย่างเหนือกว่าด้วยระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC)


เทคโนโลยี “มิตซูบิชิ คอนเนค” (MITSUBISHI CONNECT) ใช้งานง่าย สั่งการตัวรถได้จากระยะไกล เพิ่มความอุ่นใจในทุกมิติ

เทคโนโลยีเทเลมาติกส์ (Telematics) ซึ่งเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างคุณและรถยนต์ ซึ่งมีชื่อว่า “มิตซูบิชิ คอนเนค” (MITSUBISHI CONNECT) ที่ติดตั้งในออล-นิว ไทรทัน แอทลีท ทั้งในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ และขับเคลื่อน 2 ล้อ รวมถึง ออล-นิว ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ ขับเคลื่อน 4 ล้อ อัลตร้า เกียร์อัตโนมัติ สามารถรองรับได้ทั้งระบบ iOS และ Android โดยเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชัน “My MITSUBISHI CONNECT” เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในสั่งการตัวรถได้แบบไร้สายจากระยะไกล ใช้งานง่าย ทั้งการเปิดระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสารได้จากระยะไกล การล็อกและปลดล็อกประตูรถ การค้นหาตำแหน่งที่อยู่ของตัวรถ การเปิดไฟส่องสว่าง และการกดแตรรถ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบข้อมูลสถานะตัวรถ เช่น ระดับน้ำมันคงเหลือและระยะทางที่วิ่งต่อได้ ความดันลมยาง มีฟังก์ชันความปลอดภัยอื่นๆ อาทิ บริการช่วยเหลือบนถนน (Roadside Assistance) การแจ้งอัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ การช่วยเหลือเมื่อรถถูกโจรกรรม (Stolen Vehicle Assistance) และอุ่นใจตลอดเส้นทางด้วยระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน SOS ผ่านตัวรถ (e-call)


ราคาจำหน่ายรถกระบะไทรทันใหม่ 2 รุ่นท็อป ที่คุณสัมผัสได้แบบสุดคุ้ม ดังนี้:

    ออล-นิว ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ อัลตร้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ ราคาเริ่มต้น 1,228,000 บาท โดยลูกค้าสามารถรับรถได้ในช่วงปักษ์แรกของเดือนธันวาคม 2566
    ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ มีราคาประมาณการที่ 1,130,000 บาท ส่วนออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มีราคาประมาณการที่ 1,300,000 บาท โดยทั้ง 2 รุ่น คาดว่าสามารถส่งมอบรถล็อตแรกได้ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2567


Mitsubishi Triton 2024: เปิดสเปค เปิดราคา ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท และ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.checkraka.com/car/mitsubishi/triton/

748
คนรุ่นใหม่ๆ อาจไม่รู้จักว่า "กระชายดำ" คืออะไรกันแน่ ที่จริงแล้วพืชชนิดนี้อยู่ในเมนูอาหารบ้านเราอย่างหลากหลาย อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรที่ช่วยบำรุงและรักษาโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี วันนี้จะพามารู้จักกับสมุนไพรชนิดนี้กันให้ดีมากขึ้น


"กระชายดำ" คืออะไร ?

กระชายดำ เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราเป็นอย่างมาก ซึ่งคุณหนุ่มๆ จะรู้กันเป็นอย่างดีว่าสมุนไพรชนิดนี้ช่วยในเรื่องของการเพิ่มสมรรถภาพและเพิ่มฮอร์โมนเพศได้ โดยกระชายดำเป็นพืชที่อยู่ในตระกูลเดียวกับขิง มีลักษณะที่เป็นเหง้าคล้ายกัน ถูกเรียกกันจนคุ้นเคยว่าเป็น "โสมไทย" หรือ "โสมกระชายดำ" แต่มีราคาที่ถูกมากกว่า คนทางภาคเหนือจะเรียกว่า กะแอน , ระแอน , ว่ากั้นบัง , ว่านกำบัง , ว่านกำบังภัย , ว่านจังงัง , ว่านพญานกยูง ส่วนคนในภาคอีสาน อย่าง จังหวัดมหาสารคามจะนิยมเรียกว่า ขิงทราย


สรรพคุณทางยาของ "กระชายดำ"

เราใช้ "เหง้ากระชายดำ" นำมาทำเป็นยารักษาอาการต่างๆ ไม่ว่าจะใช้เป็นยาขับปัสสาวะ , ขับลม , แก้บิด , แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ , จุกเสียท้อง ใช้รักษาอาการของโรคกระเพาะที่เกิดจากการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา โดยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ได้ระบุเอาไว้ว่า "กระชายดำ" มีฤทธิ์ต้านจุลชีพ ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กมากๆ จำพวกแบคทีเรีย หรือแม้แต่ไวรัส ช่วยต้านทานการอักเสียบเทียบได้กับยาหลายๆ ชนิด อาทิ แอสไพริน อินโดเมธาซิน และเพรดนิซิโลน
ประโยชน์ด้านอื่นๆ ของ "กระชายดำ"


เพิ่มสมรรถภาพทางเพศชาย

อ้างอิงจากจุลสารข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่าสารสกัดเอทานอลที่ได้จากเหง้ากระชายดำมีผลทำให้พฤติกรรมทางเพศของสัตว์ที่เข้ารับการทดลองดีขึ้น ซึ่งจะเข้าไปช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะเพศ ออกฤทธิ์ยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบองคชาต และกล้ามเนื้อเรียบของอวัยวะเพศของผู้ที่ได้จากการผ่าตัดแปลงเพศ กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว ทำให้เลือดสามารถไหลเวียนเข้าสู่อวัยวะเพศได้ดี การแข็งตัวของอวัยวะเพศจึงมีประสิทธิภาพมากขึ้น

จากการทดลองเพิ่มเติมที่ทำกับอาสาสมัครวัย 65 ปีขึ้น โดยให้ทานแคปซูลที่เป็นสารสกัดเอทานอลจากกระชายดำเป็นระยะเวลา 2 เดือน พบว่า พวกเขาสามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางเพศได้เพิ่มขึ้น (erotic stimuli) รวมถึงขนาดและความยาวขององคชาติก็เพิ่มมากขึ้น ทำให้พวกเขารู้สึกพึงพอใจต่อการแข็งตัว จากนั้นเมื่อหยุดให้สารสกัด ร่างกายก็จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ จึงพิสูจน์ได้ว่ากระชายดำมีฤทธิ์ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้จริง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่มีผลการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมที่ออกมารับรองว่าต้องทานสารสกัดเท่าไหร่จึงจะเหมาะสมเพื่อความปลอดภัย จึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งก่อนนำมาใช้


 เพิ่มฮอร์โมนเพศหญิง

จากข้อมูลในตำรายาสมุนไพรไทยได้ระบุเอาไว้ว่า กระชายดำ สามารถช่วยบำรุงเลือดในสตรี แก้ตกขาว ทำให้โลหิตหมุนเวียนได้ขึ้น ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ เมื่อมีประจำเดือน อาการปวดท้องก็จะลดน้อยลง อีกทั้งยังมีส่วนช่วยบำรุงให้ผิวพรรณผุดผ่องได้อีกด้วย

   
บำรุงระบบไหลเวียนเลือด ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน

เรื่องนี้อ้างอิงจากข้อมูลในงานวิจัยของคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยพะเยา ระบุเอาไว้ว่า เมื่อหนูขาวที่เหนี่ยวนำให้เป็นโรคหลอดเลือดสมองอุดตันได้กินกระชายดำเข้าไปในปริมาณ 200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ต่อเนื่องเป็นเวลา 2 สัปดาห์ อาการอ่อนแรงที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าเป็นความผิดปกติของระบบประสาทก็ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณเนื้อตายของสมองที่เกิดจากการขาดเลือดได้เป็นอย่างดี


สรรพคุณของ"กระชายดำ" กับการรักษาโรค

    แก้โรคในปาก เช่น ปากเป็นแผล , ปากเปื่อย
    รักษาโรคภูมิแพ้ ช่วยขับพิษต่างๆ ในร่างกาย
    รักษาโรคปวดข้อ เช่น ปวดหลัง , ปวดเมื่อตามร่างกาย
    บำรุงกำลัง ช่วยเสริมสมรรถภาพกล้ามเนื้อของนักกีฬา
    ออกฤทธิ์ช่วยในการกำจัดเชื้อราที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคผิวหนัง

 และนี่ก็เป็นเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับสุขภาพที่เรานำมาฝาก ถึงแม้จะยังไม่ได้รู้จักกันจนคุ้นชิน แต่ก็เชื่อได้ว่าหลายๆ คนอาจได้เคยลองทานอาหารเมนูต่างๆ ที่มีส่วนผสมของ "กระชาย" หรือ "กระชายดำ" กันไปบ้าง รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง เป็นอีกหนึ่งพืชสมุนไพรดีๆ ที่ช่วยรักษาอาการต่างๆ และบำรุงให้ร่างกายของเราแข็งแรง ที่สำคัญต้องไม่ลืมที่จะออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วยล่ะ จะได้เป็นการดูแลตัวเองอย่างสมบูรณ์ที่สุด

 



กระชายพลัส: กระชายดำ สรรพคุณ สมุนไพรไทยไซส์เล็กที่ได้ประโยชน์เกินตัว อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://mmed.com/products/

749
การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดยยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล


กระชายเป็นสมุนไพรชั้นดีในเมืองไทยราคาถูก สรรพคุณดีไม่แพ้โสมเกาหลีหรือจีน จนได้ฉายาว่า ‘โสมไทย’ ส่วนใหญ่นิยมนำกระชายเหลืองมาทำอาหารประเภทแกง ผัด หรือต้มเป็นน้ำสุขภาพ ปรับสมดุลฮอร์โมนได้ทั้งชายและหญิง บำรุงกำลังเป็นยาอายุวัฒนะชั้นดี

หลายคนมักคิดว่ามีแต่โสมเท่านั้นที่บำรุงกำลังและเสริมสมรรถภาพทางเพศ จนมองข้ามกระชายราคาถูกและหาซื้อง่ายกว่า ทั้งที่หากกิน-ดื่มโสมเป็นประจำมันจะสะสมติดค้างในกระแสเลือด ร่างกายไม่ขับออกทำให้เกิดโทษในภายหลัง แต่กระชายสามารถระบายออกได้ตามธรรมชาติ ปลอดภัย และปลูกกินเองได้ ชาวจีนจึงเริ่มหันมากินกระชายกันมากขึ้น


ย้อนวัยเป็นหนุ่มสาว

กระชายมีแคลเซียมสูง บำรุงกระดูกไม่ให้เปราะแตกง่าย และป้องกันกระดูกพรุน เพราะมีวิตามินบี 1, บี 3 และบี 6 ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปบำรุงหล่อเลี้ยงสมองส่วนกลางสะดวกขึ้น ป้องกันไทรอยด์เป็นพิษ ชะลอการเกิดหัวล้าน ผมหงอกก่อนวัย เส้นผมกลับมาดกดำเหมือนหนุ่มสาว กระชายมีสารออกฤทธิ์ให้อนุมูลอิสระเป็นกลาง จึงลดความเสียหายของร่างกายจากการเกิดอนุมูลอิสระได้


ฮอร์โมนคงที่ ฟิตปึ๋งปั๋ง

ไม่น่าเชื่อว่ากระชายก็มีฤทธิ์ปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจน) และฮอร์โมนเพศชาย (เทสโทสเตอโรน) ถ้าผู้ชายและผู้หญิงมีฮอร์โมนเพศน้อยหรือมากเกินไป มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก ฉะนั้นการดื่มน้ำกระชายเป็นประจำจะช่วยปรับฮอร์โมนให้สมดุล ดูแลระบบเพศ ทั้งมดลูก รังไข่ กระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมาก นอกจากนี้ยังบำรุงหัวใจให้แข็งแรงและปรับสมดุลความดันโลหิตให้เป็นปกติ

กระเพาะแข็งแรง

นำกระชายมาต้มเป็นน้ำดื่มหรือปรุงอาหาร อาการปวดท้อง มวนในท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อจะบรรเทาลง รวมถึงอาการท้องเดินในเด็ก และปัสสาวะสะดวกขึ้น



กระชายพลัส: กระชาย 'โสมเมืองไทย' อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://mmed.com/products/

750
การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดยยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

อากาศเย็นรวดเร็ว ทำให้ร่างกายปรับสมดุลไม่ทัน หลายคนมีอาการป่วยเฉียบพลันและเรื้อรัง โดย "6 สมุนไพรไทย" เป็นตัวช่วยปรับสมดุลร่างกาย ให้พร้อมรับสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีติดบ้านไว้ใช้ได้ทั้งแบบผสมในอาหาร แถมราคาไม่แพง


สมุนไพร ตัวช่วยปรับสมดุลช่วงหน้าหนาว ที่หลายคนมีอาการมือชา เท้าชา และสร้างภูมิคุ้มกันดังนี้

- พริก มีสารแคปไซซิน เป็นสารที่ให้ความเผ็ดร้อนให้ความอบอุ่น ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ช่วยให้อาการหนาวชาบริเวณปลายมือ ปลายเท้าลดลง พริกสามารถใส่ในเมนูอาหารได้หลากหลาย เพื่อเพิ่มรสชาติเผ็ดร้อน แต่พริกมีฤทธิ์ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อกระเพาะอาหาร คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้วไม่ควรกินอาหารรสเผ็ดมาก


-ขิง มีฤทธิ์ร้อน ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น ลดการเกิดไข้หวัด ตามตำราแพทย์พื้นฐาน มีการใช้ขิงทั้งสดและแห้ง แก้หวัด แก้ปวดหัว วิธีการรับประทาน สามารถนำขิงมารับประทานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะนำไปชงดื่มเป็นชาร้อน เติมในอาหารที่รับประทาน รับประทานในวันที่อากาศหนาวๆ ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายได้ทั้งสิ้น

- ข่า ช่วยแก้ไอ แก้หวัด ลดน้ำมูก หอบหืด เหมาะกินข่าในหน้าหนาว เพราะไม่เพียงแต่ช่วยคลายหนาว แต่ยังมีสรรพคุณบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล คนไทยกินข่าหลายรูปแบบ เช่น ใช้หัวข่าใส่ในต้มยำ ต้มข่า ต้มแซ่บ หรือใช้เป็นเครื่องเทศในเครื่องแกง น้ำพริกต่างๆ


- กะเพรา มีรสเผ็ดร้อนในตัว มีกลิ่นฉุนที่ดมแล้วโล่งไปทั้งจมูกและคอ หาง่าย ราคาถูก ทำได้ทั้งเมนูผัดกะเพรา ต้มยำ ต้มแซ่บ ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายจากฤทธิ์ร้อน


- พริกไทย ช่วยย่อยอาหาร ขับเหงื่อ ทำให้ร่างกายอบอุ่น ตามตำราแพทย์ตะวันออก ช่วงที่อากาศหนาวควรใส่พริกไทย เพิ่มเติมในอาหาร ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เพิ่มภูมิคุ้มกัน กินทั้งพริกไทยป่น หรือพริกไทยสด ถ้าเป็นพริกไทยป่นควรใช้ประมาณครึ่งช้อนชาต่อหนึ่งมื้ออาหาร ผสมลงไปในอาหารแต่ละมื้อ ช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่อความหนาว เกิดความอบอุ่นภายในร่างกายให้หายหนาวสั่น แต่ไม่ควรรับประทานพริกไทยมากจนเกินไป อาจทำให้เป็นพิษต่อระบบของร่างกาย เมื่อกินในปริมาณมาก ติดต่อกันหลายวัน


-กระชาย เป็นสมุนไพรให้รสเผ็ดร้อน ทานไปแล้วสามารถทำให้อุณหภูมิในร่างกายของเราสูงขึ้นได้ เหง้าของกระชายรักษาอาการแน่น จุกเสียด น้ำมันหอมระเหยในกระชายมีฤทธิ์ขับลม การรับประทานกระชาย ถือเป็นสมุนไพรอีกตัวเลือกหนึ่งที่หาไม่ยาก และนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งใช้เป็นเครื่องเทศ หรือเป็นส่วนประกอบในเมนูอาหาร เช่น ผัดฉ่า แกงป่า.


กระชายสกัด: 6 สมุนไพร ท้าลมหนาว ช่วยไหลเวียนเลือด ลดอาการชา ติดบ้านไว้ปรับสมดุล
 อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://mmed.com/products/

หน้า: 1 ... 73 74 [75] 76 77 ... 108
โพสต์ฟรี ลงประกาศฟรี ลงโฆษณาฟรี google ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ประกาศฟรี ขายฟรี ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google