แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: 1 ... 79 80 [81] 82
801
กระแสรถ EV ในตลาดรถยนต์ยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้วยเรื่องของดีไซน์และราคาที่จับต้องได้มากขึ้น อีกทั้งหลายแบรนด์มีการปรับตัวและพัฒนารถรุ่นใหม่ ๆ ออกมา เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถ EV ทำให้หลายคนที่กำลังวางแผนซื้อรถคันแรกหรืออยากออกรถใหม่มีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ข้อเสียรถ EV จะมีอยู่บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับจริง ๆ ว่ารถไฟฟ้า EV ยังคงได้รับความนิยมเนื่องจากมีข้อดีและจุดเด่นที่คุ้มค่ากว่า เงินติดล้อจึงได้รวบรวม  5 จุดเด่นที่จะทำให้หลายคนตัดสินใจเลือกใช้รถเก๋งไฟฟ้านี้


รถไฟฟ้า EV คืออะไร?

รถไฟฟ้า EV คือ รถยนต์ประเภทหนึ่งที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแทนเครื่องยนต์ที่มีการเผาไหม้แบบสันดาป อย่างเครื่องยนต์ดีเซลและเครื่องยนต์เบนซิน การทำงานของรถไฟฟ้าเป็นรถยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าตั้งแต่หนึ่งตัวขึ้นไปในการขับเคลื่อน โดยจะเก็บพลังงานไฟฟ้าเอาไว้ในแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้ด้วยการเสียบปลั๊กรถยนต์เข้ากับเต้ารับไฟฟ้าที่บ้านหรือสถานีชาร์จ และแปลงพลังงานจากแบตเตอรี่เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนรถยนต์ ซึ่งจะแตกต่างจากเครื่องยนต์แบบสันดาปที่ขับเคลื่อนด้วยการเผาไหม้ส่วนผสมของเชื้อเพลิงซึ่งก็คือน้ำมันกับอากาศ โดยแรงระเบิดจากการเผาไหม้นั้นจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานที่ใช้ในการขับเคลื่อนรถยนต์ หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ รถไฟฟ้า EV เป็นรถที่ใช้ไฟฟ้าแทนการใช้น้ำมันนั่นเอง

ยี่ห้อรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย เช่น Tesla, BYD, NETA, ORA, MG, Volvo, AUDI, BMW เป็นต้น

ประเภทของรถไฟฟ้า EV

    รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Hybrid electric vehicle: HEV)
    รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV)
    รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV)

โดยรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 3 ประเภทจะใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด แต่ PHEV จะมีทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปด้วย ส่วน HEV จะใช้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์เบนซินร่วมกัน


5 จุดเด่นของรถไฟฟ้า EV ที่หลายคนเลือกใช้

นอกจากจุดเด่นเรื่องประหยัดค่าน้ำมันและเทคโนโลยีทันสมัยต่าง ๆ ที่มากับรถไฟฟ้า EV เช่น ระบบควบคุมความเร็ว ระบบช่วยรักษาเลน หรือระบบเบรกฉุกเฉินแล้ว รถยนต์ไฟฟ้ายังมีจุดเด่นอีกหลายอย่างที่บอกได้เลยว่า จะช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้าเป็นรถยนต์คันใหม่ในเร็ว ๆ นี้ได้อย่างแน่นอน


1. ไม่สร้างมลพิษให้สิ่งแวดล้อม

ถือเป็นข้อได้เปรียบและจุดเด่นของรถไฟฟ้า EV เรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากกระบวนการขับเคลื่อนรถยนต์ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก จึงไม่มีการปล่อยก๊าซจากท่อไอเสียรถโดยตรง ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หรือมลพิษอื่น ๆ ออกสู่อากาศ โดยทั่วไปรถเก๋งไฟฟ้าเหล่านี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดียิ่งขึ้นเมื่อชาร์จด้วยแหล่งพลังงานสะอาดหรือพลังงานทดแทน ซึ่งต่างจากรถเครื่องยนต์แบบสันดาปที่ขับเคลื่อนด้วยการเผาไหม้ส่วนผสมของเชื้อเพลิง ซึ่งจะมีการปล่อยมลพิษออกสู่อากาศโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) หรือก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ (NOx)


2. ลดการใช้พลังงาน

เพราะกระบวนการผลิตไฟฟ้าก็เป็นส่วนหนึ่งในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รถไฟฟ้า EV จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการหันไปใช้พลังงานทดแทนได้ เช่น พลังงานลม หรือพลังงานแสงอาทิตย์ อีกทั้งรถ EV จะนำพลังงานไฟฟ้าไปใช้ในการขับเคลื่อนรถยนต์ได้เต็มประสิทธิภาพมากกว่า จึงช่วยลดการใช้พลังงานได้มากกว่า ต่างจากเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลที่จะสิ้นเปลืองพลังงานส่วนใหญ่จากเชื้อเพลิงไปเป็นพลังงานความร้อนนั่นเอง


3. การเร่งความเร็วที่ราบรื่นและรวดเร็ว

แรงบิดที่พร้อมใช้งานทันทีในรถ EV ส่งผลให้มีอัตราเร่งที่ราบรื่นและรวดเร็วเป็นพิเศษ ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้าขึ้นชื่อเรื่องแรงบิดที่เป็นเอกลักษณ์นี้ สามารถส่งแรงบิดสูงสุดตั้งแต่วินาทีแรกที่เริ่มเหยียบคันเร่ง แตกต่างจากเครื่องยนต์แบบสันดาปที่จะต้องรอให้ถึงความเร็วรอบ RPM (รอบต่อนาที) เพื่อให้ได้แรงบิดสูงสุด จึงส่งแรงบิดได้ช้ากว่า แรงบิดที่พร้อมใช้งานทันทีในรถ EV นี้ ไม่เพียงแต่ให้อัตราเร่งที่เร้าใจและตอบสนองได้อย่างที่ต้องการ แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและช่วยในการควบคุมรถอีกด้วย ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ขับขี่จำนวนมาก


4. การบำรุงรักษาน้อยกว่า

องค์ประกอบสำคัญของรถ EV คือ มอเตอร์และแบตเตอรี่ ซึ่งแบตเตอรี่ของรถ EV สมัยใหม่ออกแบบให้มีความทนทานและใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น โดยในแต่ละครั้งที่นำรถเข้าศูนย์จะมีการบำรุงรักษา 4 ส่วนสำคัญคือ ระบบขับเคลื่อน ระบบเบรก ระบบระบายความร้อน และการกรองอากาศเท่านั้น ไม่มีการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแบบเดิม ๆ ด้วยการบำรุงรักษาที่น้อยกว่านี้ จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า อย่างไรก็ตามการนำรถเข้าศูนย์เช็กระยะ อาจมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างออกไปได้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อรถยนต์ไฟฟ้า และลักษณะการใช้งานของผู้ขับขี่แต่ละคนด้วย


5. การเบรกเพื่อชาร์จไฟ

การเบรกเพื่อชาร์จไฟ หรือ Regenerative Braking เป็นระบบเบรกของรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถกักเก็บพลังงานจลน์บางส่วนเพื่อนำกลับมาใช้อีกครั้งเมื่อมีการเร่งความเร็วใหม่ ระบบการเบรกนี้จะจับพลังงานระหว่างการเบรกและใช้เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ตลอดการเดินทาง จึงช่วยลดการสึกหรอของผ้าเบรกและยืดอายุการใช้งานได้ การเบรกเพื่อชาร์จไฟจึงเป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


สรุป รถไฟฟ้า EV ตัวเลือกของคนยุคใหม่

รถไฟฟ้า EV ได้รับความนิยมเนื่องจากความคุ้มค่าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้รถใช้ถนน แต่มีหนึ่งสิ่งที่หลายคนกังวลว่าจะซื้อรถไฟฟ้าดีไหม คือ ระยะทางต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ต้องบอกเลยว่าด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นได้พัฒนาให้มีระยะการขับขี่ที่ไกลขึ้น ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับระยะการขับขี่ได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่คุ้นชินกับการขับรถเก๋งไฟฟ้า


รถยนต์ไฟฟ้าดีไหม? มาดูจุดเด่นของรถไฟฟ้า EV ก่อนตัดสินใจซื้อ อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.checkraka.com/car/?fuel_type=4078&quicksearch_order=306,DESC-326,ASC

802
ทราบหรือไม่ว่า การแก้ปัญหาเสียงดัง ที่เกิดขึ้นในโรงงานนั้น มีวิธีการอยู่ 3 แนวทาง ประกอบด้วย

1) sources treatment หรือการแก้ปัญหาที่แหล่งกำเนิดเสียงโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงเครื่องจักรหรือการดัดแปลงอุปกรณ์ก็ตาม
2) paths treatment หรือการแก้ปัญหาที่ทางผ่านของเสียง เช่น การทำกำแพงกันเสียง การกรุฉนวนซับเสียงที่ผนังห้อง
3) receivers treatment หรือการใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียงส่วนบุคคล เช่น ให้ผู้สัมผัสเสียงสวมใส่ earplugs หรือ earmuffs

จะทราบได้อย่างไรว่าเสียงดังเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด (ฉนวนกันเสียง ช่วยลดเสียงดัง)

ฉนวนกันเสียง ช่วยแก้ปัญหาเสียงดังรบกวน ปัญหาเสียงดังรบกวนหรือระดับเสียงดังกว่าที่กฎหมายกำหนด

ปัญหาเสียงดังรบกวนหรือมลพิษทางเสียง สร้างปัญหาและความหนักใจให้กับหลายๆคน โดยที่ผู้ได้รับผลกระทบเรื่องเสียงเหล่านั้น อาจจะไม่เคยทราบว่ากฎหมายในเมืองไทยให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่ได้รับเสียงอยู่ 4 ประเภทด้วยกัน กล่าวคือ

1. ว่าด้วยเรื่องของระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมงริมรั้วโรงงาน ต้องไม่เกิน 70 dBA
2. ว่าด้วยเรื่องระดับเสียงที่ได้รับเฉลี่ย 8 ชั่วโมงในพื้นที่ทำงาน ต้องไม่เกิน 85 dBA
3. ว่าด้วยเรื่องระดับเสียงรบกวน ต้องต่างจากระดับเสียงพื้นฐานไม่เกิน 10 dBA
4. ว่าด้วยเรื่องเสียงที่ออกจากแหล่งกำเนิดเสียงหรือกิจกรรมต่างๆ ต้องไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ


ยกตัวอย่างรายละเอียดของความดังเสียงแต่ละประเภท ที่กฎหมายควบคุม

1. ตั้งเครื่องวัดเสียงตามระเบียบวิธีการวัดเสียงเฉลี่ยของกรมควบคุมมลพิษ บันทึกค่าเสียงทิ้งไว้ให้ครบ 24 ชั่วโมง หากระดับเสียงเฉลี่ยที่บันทึกได้เกินกว่า 70 dBA ทางโรงงานหรือแหล่งกำเนิดเสียงต้องทำการปรับปรุงหรือลดเสียงลง ให้มีค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงต่ำกว่า 70 dBA

2. เมื่อทำการติดตั้งเครื่องวัดการสัมผัสเสียง (noise dosimeter) ที่พนักงาน แล้วพบว่ามีค่า TWA (Time Weight Average) ที่ 8 ชั่วโมง หรือค่าเฉลี่ยการสัมผัสเสียง 8 ชั่วโมงเกินกว่า 85 dBA ทางโรงงานหรือผู้รับผิดชอบพื้นที่ จะต้องทำการปรับปรุงหรือจัดทำโครงการอนุรักษ์การได้ยิน ตามรายละเอียดที่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกำหนด

3. การวัดเสียงรบกวนตามข้อกำหนดของกรมควบคุมมลพิษคือ ให้วัดเสียงขณะมีการรบกวนแล้วหักลบด้วยระดับเสียงพื้นฐานขณะไม่มีการรบกวน จากนั้นนำไปเทียบตัวปรับค่าที่กรมควบคุมมลพิษระบุไว้ ค่าที่ได้หลังจากหักตัวปรับค่าออกแล้ว จะเป็นค่าระดับเสียงรบกวน เช่น ระดับเสียงเฉลี่ยขณะมีการรบกวนวัดได้ 68 dBA และระดับเสียงพื้นฐาน (percentile 90 ของระดับเสียงขณะไม่มีการรบกวน) วัดได้ 47 dBA เมื่อนำ 68-47 จะได้ 21 dBA (ผลต่างเกิน 12 dBA ตัวปรับค่าคือ 0) จะได้ค่าระดับเสียงรบกวนคือ 21 dBA หรือเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด 11 dBA เป็นต้น

4. สำหรับกรณีที่ค่าระดับเสียงรบกวนไม่เกิน 10 dBA แต่ผู้รับเสียงมีความเดือดร้อน รำคาญ ใช้ชีวิตให้เป็นปกติสุขไม่ได้นั้น ทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความคุ้มครองเอาไว้ในเรื่องของ “เหตุเดือดร้อนรำคาญ” ยกตัวอย่างเช่น วัดระดับเสียงรบกวนในห้องนอนของผู้รับเสียง ที่มีบ้านอยู่ใกล้โรงงานผลิตน้ำแข็ง พบว่าระดับเสียงรบกวนอยู่ที่ 8.8 dBA ซึ่งไม่เกินที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดคือ 10 dBA แต่ผู้รับเสียงในห้องนั้นได้รับความเดือดร้อน นอนไม่หลับ เกิดความรำคาญและความเครียด ผู้รับเสียงสามารถร้องทุกข์ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้โรงงานผลิตน้ำแข็งทำการลดเสียงหรือปรับปรุงระบบการผลิตได้เช่นเดียวกัน


ฉนวนกันเสียง: แนวทางในการ แก้ปัญหาเสียงดัง  อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://noisecontrol365.com/

803
อาหารเป็นพิษ หมายถึง อาการท้องเดินเนื่องจากการกินอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน*

ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะอาหารเป็นพิษจากเชื้อโรค ซึ่งมีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับเชื้อโรค

เชื้อโรคหลายชนิดสามารถปล่อยพิษ (toxin) ออกมาปนเปื้อนอยู่ในอาหาร เมื่อผู้ป่วยกินพิษเข้าไปก็ทำให้เกิดอาการได้ บางชนิดจะปล่อยพิษหลังจากเชื้อโรคที่ปนเปื้อนอาหารเข้าไปแบ่งตัวเจริญเติบโตในทางเดินอาหารแล้วผลิตพิษออกมาทำให้เกิดอาการ

มักพบว่าในหมู่คนที่กินอาหารร่วมกัน จะมีอาการพร้อมกันหลายคน ซึ่งมักมีอาการปวดบิดในท้อง อาเจียน และท้องเดิน มีอาการมากน้อยแตกต่างกันไปแล้วแต่บุคคลและปริมาณที่กิน


สาเหตุ

เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของอาหารเป็นพิษ นอกจากไวรัส พยาธิไกอาร์เดีย อหิวาต์ ชิเกลลา และอะมีบาแล้ว ยังอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียอีกหลายชนิด เช่น

1. สแตฟีโลค็อกคัสออเรียส (Staphylococcus aureus) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองฝีตามผิวหนัง อาจพบปนเปื้อนอยู่ในอาหารพวกเนื้อสัตว์ ไข่ นมและผลิตภัณฑ์จากนม ขนมปัง เชื้อจะปล่อยพิษ (ซึ่งทนต่อความร้อน) ออกมาปนเปื้อนในอาหาร ผู้ที่กินอาหารเหล่านี้ไม่ว่าจะปรุงให้สุกหรือไม่ก็ตาม ก็จะเกิดอาการอาหารเป็นพิษ โดยมีอาการอาเจียนเป็นอาการเด่น ร่วมกับปวดท้อง ท้องเดิน ไม่มีไข้ ระยะฟักตัว 1-8 ชั่วโมง มักจะหายได้เองภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังมีอาการ

2. บาซิลลัสซีเรียส (Bacillus cereus) เชื้อนี้ปล่อยพิษในอาหาร และผลิตพิษหลังจากเข้าไปแบ่งตัวในลำไส้ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ชนิดหนึ่งปล่อยพิษ (ที่ทนต่อความร้อน) ทำให้เกิดอาการอาเจียนเป็นอาการเด่น พบปนเปื้อนในข้าว (ผู้ป่วยมีประวัติกินข้าวผัดเก่าที่นำมาอุ่นใหม่) ระยะฟักตัว 1-8 ชั่วโมง

อีกชนิดหนึ่งปล่อยพิษทำให้เกิดอาการท้องเดินเป็นอาการเด่น พบปนเปื้อนในเนื้อสัตว์ ระยะฟักตัว 8-16 ชั่วโมง

ผู้ป่วยจะไม่มีไข้และมักจะหายได้เองภายใน 12 ชั่วโมงหลังมีอาการ


3. คลอสตริเดียมเพอร์ฟรินเจนส์ (Clostridium perfringens) เชื้อนี้ปล่อยพิษในอาหาร และผลิตพิษหลังจากเข้าไปแบ่งตัวในลำไส้ พบปนเปื้อนในเนื้อสัตว์และเป็ดไก่ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ถ่ายเป็นน้ำ (ไม่ค่อยมีอาการอาเจียน) ไม่มีไข้ ระยะฟักตัว 8-16 ชั่วโมง มักจะหายได้เองภายใน 24 ชั่วโมง

4. อีโคไล (enterotoxic E.coli) พบปนเปื้อนในน้ำ เนื้อสัตว์ นม เนยแข็ง สลัด เชื้อจะเข้าไปแบ่งตัวในลำไส้แล้วผลิตพิษออกมา ทำให้เกิดอาการถ่ายเป็นน้ำเป็นอาการเด่น ร่วมกับปวดท้อง อาเจียน ไม่มีไข้ ระยะฟักตัว 8-18 ชั่วโมง มักจะหายได้เองภายใน 1-2 วัน

5. ซัลโมเนลลา (Salmonella) เป็นแบคทีเรียสายพันธุ์หนึ่งที่อยู่ในตระกูลเดียวกับเชื้อไทฟอยด์ แต่มักไม่ทำให้เกิดอาการทั่วร่างกายแบบไทฟอยด์ พบปนเปื้อนในเนื้อวัว เป็ด ไก่ ไข่ นมและผลิตภัณฑ์จากนม ผักและผลไม้ เชื้อจะเข้าไปแบ่งตัวในลำไส้แล้วผลิตพิษออกมา ทำให้มีอาการท้องเดิน มีไข้ต่ำ ๆ บางครั้งมีมูกเลือดปน ระยะฟักตัว 8-48 ชั่วโมง มักจะหายได้เองภายใน 2-5 วัน บางรายอาจเรื้อรังถึง 10-14 วัน

6. วิบริโอพาราฮีโมไลติคัส (Vibrio parahemolyticus) เป็นเชื้อสายพันธุ์หนึ่งในตระกูลเดียวกับอหิวาต์ อาศัยอยู่ในแพลงตอนและปนเปื้อนมากับอาหารทะเล (หอยนางรม หอยแมลงภู่ กุ้ง ปู) ซึ่งเมื่อผู้ป่วยกินอาหารทะเลแบบดิบ ๆ เชื้อก็จะแบ่งตัวในลำไส้และผลิตพิษออกมา ทำให้เกิดอาการท้องเดิน อาเจียน อาจมีไข้ร่วมด้วย บางรายอาจมีอาการถ่ายเป็นมูกเลือดในเวลาต่อมา ระยะฟักตัว 8-24 ชั่วโมง (อาจนานถึง 96 ชั่วโมง) มักจะหายได้เองภายใน 3-5 วัน

นอกจากนี้ เชื้อนี้อาจเข้าทางบาดแผลที่ผิวหนังของผู้ที่ลงเล่นน้ำทะเล ทำให้เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ และอาจมีโลหิตเป็นพิษแทรกซ้อนในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำได้

7. แคมไพโลแบกเตอร์เจจูไน (Campylobacter jejuni) พบปนเปื้อนในน้ำ เนื้อสัตว์ เป็ดไก่ เชื้อจะเข้าไปแบ่งตัวในลำไส้เล็กและรุกล้ำเข้าไปในเยื่อบุลำไส้แล้วปล่อยพิษ ทำให้ลำไส้เล็กอักเสบ มีอาการไข้ ถ่ายเป็นน้ำ มีกลิ่นเหม็น และอาจถ่ายเป็นเลือดในเวลาต่อมา ระยะฟักตัว 3-5 วัน มักหายได้เองภายใน 5-8 วัน


อาการ

อาหารเป็นพิษจากเชื้อโรคต่าง ๆ จะมีอาการคล้าย ๆ กัน คือ ปวดท้อง ลักษณะปวดบิดเป็นพัก ๆ อาเจียน และถ่ายเป็นน้ำ ซึ่งจะเกิดขึ้นฉับพลันทันทีหลังกินอาหาร หรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อหรือพิษที่เชื้อปล่อยทิ้งไว้ โดยมีระยะฟักตัวของโรค และอาการที่มีลักษณะเฉพาะ (โดดเด่น) ขึ้นกับเชื้อแต่ละชนิด (ดู "หัวข้อสาเหตุ" ด้านบนประกอบ) เช่น ถ้ามีอาการอาเจียนมาก ไม่มีไข้ และระยะฟักตัว 1-8 ชั่วโมง ก็อาจเกิดจากสแตฟีโลค็อกคัส หรือบาซิลลัสซีเรียส

ถ้ามีไข้ร่วมด้วย และเป็นหลังจากกินอาหารทะเลดิบ ๆ ก็อาจเกิดจากวิบริโอพาราฮีโมไลติคัส แต่ถ้าเป็นหลังจากกินเนื้อสัตว์หรือเป็ดไก่ ก็อาจเกิดจากซัลโมเนลลา (ระยะฟักตัว 8-48 ชั่วโมง) หรือแคมไพโลแบกเตอร์เจจูไน (ระยะฟักตัว 3-5 วัน)

ถ้ามีอาการถ่ายเป็นมูกเลือด หรือถ่ายเป็นเลือดตามมา ก็อาจเกิดจากวิบริโอพาราฮีโมไลติคัส (ระยะฟักตัว 8-24 ชั่วโมง เป็นหลังกินอาหารทะเล) หรือแคมไพโลแบกเตอร์เจจูไน เป็นต้น

โดยทั่วไปถ้าเป็นไม่รุนแรง อาการต่าง ๆ มักจะหายได้เองภายใน 24-48 ชั่วโมง บางชนิดก็อาจนานถึงสัปดาห์


ภาวะแทรกซ้อน

ที่พบได้บ่อยก็คือ ภาวะขาดน้ำ ซึ่งอาจรุนแรงถึงเกิดภาวะช็อกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ

ในรายที่ติดเชื้อซัลโมเนลลา หากมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีอายุมากกว่า 65 ปี อาจเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษได้

ในรายที่ติดเชื้อวิบริโอพาราฮีโมไลติคัส หากมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ หรือเป็นโรคตับแข็ง อาจมีการติดเชื้อรุนแรง กลายโลหิตเป็นพิษแทรกซ้อนได้

ในรายที่ติดเชื้อแคมไพโลแบกเตอร์เจจูไน อาจเกิดปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง กลายเป็นกลุ่มอาการกิลแลงบาร์เรได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งในรายที่เป็นรุนแรงมักตรวจพบภาวะขาดน้ำ (ดูเพิ่มเติมในหัวข้อ "ภาวะแทรกซ้อน" ด้านบน) ชีพจรเร็ว ความดันโลหิตต่ำ บางรายอาจมีภาวะช็อก ในรายที่มีอาการเล็กน้อยมักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน นอกจากบางรายอาจพบว่ามีไข้

ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องนำอุจจาระ สิ่งอาเจียน อาหารและน้ำที่บริโภคไปตรวจหาเชื้อหรือสารพิษ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้ผู้ป่วยงดอาหารแข็ง อาหารรสจัด และอาหารที่มีกากใย (เช่น ผัก ผลไม้) ให้กินอาหารอ่อน หรืออาหารเหลว เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าว น้ำหวานแทน

2. ให้การรักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้-พาราเซตามอล และให้สารละลายน้ำตาลเกลือแร่

3. ถ้ามีอาการถ่ายท้องหรืออาเจียนรุนแรง หรือมีภาวะขาดน้ำรุนแรง จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ และส่งอุจจาระตรวจหาเชื้อ

4. โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ ยกเว้นในรายที่เป็นรุนแรง หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ หากตรวจพบว่าเกิดจากเชื้ออีโคไล, ซัลโมเนลลา, วิบริโอพาราฮีโมไลติคัส, แคมไพโลแบกเตอร์เจจูไน, อหิวาต์ หรือบิดชิเกลลา แพทย์จะพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ เช่น นอร์ฟล็อกซาซิน, โอฟล็อกซาซิน, โคไตรม็อกซาโซล, อีริโทรไมซิน, กลุ่มเซฟาโลสปอริน เป็นต้น

ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักหายเป็นปกติภายใน 24-72 ชั่วโมง บางรายอาจนาน 5-7 วัน น้อยรายที่จะมีอาการรุนแรง ซึ่งหากรักษาได้ทันการก็จะหายได้ แต่ถ้าได้รับการรักษาล่าช้าไปก็จะมีภาวะแทรกซ้อน ซึ่งอาจถึงขั้นเป็นอันตรายได้


การดูแลตนเอง

1. ถ้ามีอาการปวดท้องและถ่ายเป็นน้ำไม่รุนแรง ให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ครั้งละ 1/2-1 ถ้วย (250 มล.) บ่อย ๆ ถ้ามีไข้ให้พาราเซตามอล*

2. ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือด หรืออุจจาระมีกลิ่นเหม็นจัด
    ถ่ายรุนแรง อาเจียนมาก ปวดท้องรุนแรง หรือดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ได้น้อย (สังเกตพบปัสสาวะออกน้อย และมีสีเข้มอยู่เรื่อย ๆ)
    มีภาวะขาดน้ำค่อนข้างรุนแรง สังเกตพบมีอาการปากแห้ง คอแห้ง ลิ้นเป็นฝ้าหนา ตาโบ๋ ปัสสาวะออกน้อย
    มีอาการอ่อนเพลีย หน้ามืด เวียนศีรษะ ใจหวิวใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว

สำหรับทารก มีท่าทางซึม ไม่ร่าเริง กระหม่อมบุ๋ม

    มีไข้เกิน 3-4 วัน หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก หนังตาตก หรือพูดอ้อแอ้
    มีประวัติกินปลาปักเป้า แมงดาถ้วย คางคก เห็ด (ที่สงสัยว่าเป็นเห็ดพิษ) หรือสงสัยว่าเกิดจากการกินสารพิษ
    มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยอหิวาต์
    ดูแลตนเอง 24 ชั่วโมงแล้วไม่ทุเลา 
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว หรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการกินอาหารดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารที่ไม่สด และอาหารที่ไม่สะอาด (เช่น มีแมลงวันตอม คนเตรียมอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารทะเลและเนื้อสัตว์

2. กินอาหารสุก ไม่มีแมลงวันตอม และดื่มน้ำสุกหรือน้ำสะอาด

3. หลีกเลี่ยงการกินน้ำแข็งที่ไม่สะอาด ซอส น้ำจิ้มที่ทำทิ้งไว้นาน

4. ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ก่อนเตรียมอาหาร ก่อนเปิบข้าว และหลังถ่ายอุจจาระหรือเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เด็กทุกครั้ง

5. ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่มิดชิด

6. ผู้ที่มีบาดแผลที่ผิวหนังควรหลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำในทะเล เพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อวิบริโอพาราฮีโมไลติคัส


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้เกิดจากการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคหรือสารพิษที่เชื้อโรคปล่อยออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารทะเลและเนื้อสัตว์ที่ไม่สด ไม่สะอาด หรือปนเปื้อนจากมือของผู้เตรียมอาหาร ดังนั้นการบริโภคอาหารนอกบ้านต้องเลือกร้านที่มีลักษณะสะอาดและถูกสุขลักษณะ

2. โรคนี้ส่วนใหญ่มักจะมีอาการไม่รุนแรง มักจะหายได้เองใน 24-72 ชั่วโมง การรักษาที่สำคัญ คือ การดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ทดแทนให้มากพอกับน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไปจากการถ่ายท้อง

ส่วนน้อยที่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอาการค่อนข้างรุนแรง เป็นนานหลายวัน มีไข้ หรือถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือดร่วมด้วย

3. สำหรับผู้ที่มีอาการอาหารเป็นพิษ (ซึ่งอาจเป็นพร้อมกันหลายคนที่รับพิษพร้อมกัน) หากสงสัยเกิดจากสารพิษร้ายแรง (เช่น ปลาปักเป้า แมงดาถ้วย พิษคางคก พิษเห็ด) หรือโบทูลิซึม หรือมีอาการทางระบบประสาท (เช่น หนังตาตก กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต ชัก หมดสติ) ควรนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันที




ข้อมูลโรค: อาหารเป็นพิษจากเชื้อโรค/อาหารเป็นพิษ (Food poisoning)  อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://doctorathome.com/disease-conditions

804
ทริปโตเฟน (L-Tryptophan) เป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถผลิตได้ และต้องได้รับจากอาหาร ทริปโตเฟนมีบทบาทในการผลิตเซโรโทนินซึ่งเป็นสารควบคุมอารมณ์ จำเป็นต่อการทำงานของระบบเมตาบอลิซึมต่าง ๆ ในร่างกาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับอารมณ์ การรับรู้ และพฤติกรรม รวมถึงยังมีส่วนช่วยควบคุมการนอนหลับให้เป็นปกติด้วย

ร่างกายใช้ทริปโตเฟนในการสังเคราะห์โปรตีนต่าง ๆ และทริปโตเฟนยังเป็นสารตั้งต้นของสารสื่อประสาทเซโรโทนินและเมลาโทนิน การได้รับทริปโตเฟนไม่เพียงพออาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้า นอนหลับไม่สนิท และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง ในทางกลับกัน การบริโภคอาหารที่มีทริปโตเฟนสูงจะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าร่างกายของเราจะมีระดับของสารชนิดนี้เพียงพอและจะสามารถผลิตเซโรโทนินและเมลาโทนินได้เพียงพอ และอาหารที่มีทริปโตเฟนสูงก็จะช่วยให้เรานอนหลับตอนกลางคืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 
6 อาหารช่วยนอนหลับ มีสารทริปโตเฟนสูง
 
1. นมและผลิตภัณฑ์นม

หลายคนมักดื่มนมอุ่นก่อนนอนเพื่อช่วยผ่อนคลาย เนื่องจากในนมมีปริมาณทริปโตเฟนค่อนข้างสูง โดยนม 8 ออนซ์ 1 แก้ว จะให้ทริปโตเฟนประมาณ 106 มก. และนอกจากนี้อาหารประเภทนมอื่น ๆ ก็เป็นแหล่งที่ดีของทริปโตเฟนเช่นกัน ตัวอย่างเช่น คอทเทจชีสครึ่งถ้วย มีสารทริปโตเฟน 332 มก. ในขณะที่เชดดาร์ชีสหรือมอสซาเรลลา 28 กรัม จะให้สารทริปโตเฟนประมาณ 155 มก.

 
2. เนื้อหมู

เนื้อหมูส่วนที่ไม่ติดมันหรือมันน้อยเป็นแหล่งของทริปโตเฟนที่ดี เนื้อหมูปรุงสุกปริมาณ 170 กรัม จะให้สารทริปโตเฟนสูงถึง 224% นอกจากนี้ในเนื้อหมูยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านอื่น ๆ ด้วย เพราะอุดมไปด้วยซีลีเนียม ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ช่วยให้ต่อมไทรอยด์ทำงานได้เป็นปกติ ซีลีเนียมยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องร่างกายของเราจากความเสียหายของอนุมูลอิสระได้ด้วย

 
3. เต้าหู้

เต้าหู้เป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มมังสวิรัติที่อุดมไปด้วยทริปโตเฟน เต้าหู้ปรุงสุก 1 ถ้วย มีสารทริปโตเฟนประมาณ 210% ของความต้องการต่อวัน นอกจากนี้ยังมีโปรตีน แคลเซียม และมีวิตามินบีสูง

 
4. ปลาทูน่า

ปลาทูน่ากระป๋องหรือเนื้อปลาทูน่าสดสามารถเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของอาหารที่มีทริปโตเฟนสูงได้ ปลาทูน่ากระป๋องอุดมไปด้วยแอล-ทริปโตเฟน โดยให้สารชนิดนี้สูงถึง 90% ต่อน้ำหนักเนื้อทูน่าประมาณ 85 กรัม นอกจากนี้ยังให้โปรตีนซึ่งเป็นสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย

 
5. ไข่

ไข่เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยทริปโตเฟน นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอ วิตามินบี12 และซีลีเนียมในปริมาณมาก ไข่ต้มขนาดใหญ่ 1 ฟอง ให้โปรตีนประมาณ 6.3 กรัมและให้สารทริปโตเฟนถึง 27% ของปริมาณที่ต้องการต่อวัน

 
6. สัปปะรด

สับปะรดก็มีทริปโตเฟนในปริมาณสูงและสามารถช่วยเพิ่มสารเซโรโทนินในสมองได้ นอกจากนี้ สับปะรดยังเต็มไปด้วยสารโบรมีเลนซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยต้านการอักเสบ

 

อาหารสุขภาพ ช่วยนอนหลับ มีสารทริปโตเฟนสูง ช่วยคลายเครียด ลดซึมเศร้า อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://thetastefood.com/

805
การจัดฟันในเด็ก เป็นการจัดฟันสำหรับเด็กที่มีอายุ 4-15 ปี ซึ่งการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถมาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันได้ตั้งแต่อายุยังน้อย คือตั้งแต่มีฟันน้ำนมหรือระยะฟันผสม ซึ่งการจัดฟันในเด็กจะเป็นการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของลักษณะฟัน การขึ้นของฟันที่มีความผิดปกติ รวมไปถึงปัญหาการสบฟันที่มีความผิดปกติ โดยปัญหาเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเด็ก หรือแม้กระทั่งส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กได้


เพราะถ้าหากเด็กมีปัญหาในเรื่องดังกล่าว อาจจะทำให้ไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายเด็กได้ หรือเด็กบางคนอาจะส่งผลทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร จนทำให้เกิดผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กได้ ดังนั้น การจัดฟันในเด็กจึงสามารถช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ เรียกว่า เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยเทีเดียว หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ในวัยเด็กนั้น พฤติกรรมของเด็กส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมการดูดขวดนม พฤติกรรมการดูดนิ้ว ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ ส่งผลทำให้เด็กเติบโตมามีการสบฟันที่ผิดปกติ รวมไปถึงอาจจะส่งผลต่อโครงสร้างของใบหน้าด้วย ดังนั้น เด็กที่มีปัญหาควรได้รับการแก้ไขด้วยการจัดฟันในเด็ก สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดที่กำลังคิดจะนำบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็อาจจะสงสัยว่า การจัดฟันในเด็กนั้นมีกี่รูปแบบ และแต่ละแบบมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันอย่างไร และเราจะสามารถทราบได้อย่างไรว่า บุตรหลานของเราเหมาะสำหรับการจัดฟันในรูปแบบใด เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ


วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการเข้ารับการจัดฟันในเด็กว่ามีกี่ประเภท และแต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นแนวทางให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองที่สนใจพาบุตรหลานเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เราต้องอธิบายก่อนว่า กาจัดฟันเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถนำบุตรหลานของท่านที่มี อายุต่ำว่า 10 ปี มาตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่น หรือไม่จำเป็นต้องรอให้ฟันน้ำนมหลุดก่อน แนะนำให้พาเด็กอายุ 7-10 ปี ไปตรวจกับทันตแพทย์จัดฟัน เพราะหากพบปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติ เด็กวัยนี้ก็สามารถจัดฟันได้แล้ว


ดังนั้น การที่พ่อแม่ผู้ปกครองพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจฟันตั้งแต่เล็ก นอกจากเพื่อตรวจดูว่ามีฟันผุหรือไม่ จะได้รีบรักษา รวมทั้งให้วิธีการป้องกันฟันผุแล้ว ยังเพื่อให้เด็กตรวจพบความผิดปกติของการเรียงตัวของฟันแต่เนิ่นๆ และจะได้วางแผนเวลา และวิธีการรักษาที่เหมาะสม สำหรับรูปแบบการจัดฟันในเด็ก ที่เรามักจะพบได้บ่อยหรือได้รับความนิยมมากก็มีด้วยกัน 2 รูปแบบ ซึ่งเป็นการจัดฟันในเด็ก แบบใช้เครื่องมือ EF Line และการจัดฟันในเด็กแบบใช้เครื่องมือแบบติดแน่น ซึ่งสองวิธีนี้เป็นการจัดฟันในเด็กที่สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งการจัดฟันแบบ EF Line จะมักนิยมใช้ในเด็กที่มีอายุประมาณ 4-7 ปี เพราะเครื่องมือสามารถเอาออกได้ เป็นการปรับโครงสร้างของ


ใบหน้าเด็ก ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้นให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งมักจะใช้จัดฟันในเด็กที่ยังมีการเจริญเติบโตอยู่ ต่อมาก็คอการจัดฟันในเด็กที่มีเครื่องมือแบบติดแน่น ซึ่งการจัดฟันในรูปแบบนี้ มักจะใช้ในเด็กที่มีอายุ 7-15 ปี เพราะเด็กในวัยยี้เริ่มมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูรักษาสุขภาพช่องปากและฟันแล้ว และยังให้ความร่วมมือในการรักษากับทันตแพทย์ได้ดีอีกด้วย นี่ก็คือรูปแบบการจัดฟันในเด็กที่ได้รับความนิยมาก เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาความผิดปกติของฟันของเด็ก รวมไปถึงความผิดปกติของโครงสร้างใบหน้าด้วย


สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากพาบุตรหลาของท่านเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็ก แบะมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน จึงมั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ดี และมีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน



การจัดฟันเด็ก มีกี่แบบ อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.idolsmiledental.com/การจัดฟันเด็ก/

806
บ้านไม้ บนที่ดินเปล่าใกล้เนินเขาซึ่งมีกลุ่มต้นพะยูงเติบโตเคียงกันมาเป็นเวลานาน Binary Wood House แบบบ้านไม้ สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิก 5 คน โดยที่หัวหน้าสมาชิกของบ้านตั้งใจให้ที่นี่เป็นบ้านสำหรับใช้ชีวิตวัยเกษียณของเขาในอนาคต

จากโปรแกรมแรกเริ่มที่เจ้าของตั้งใจให้ที่นี่เป็นห้องพัก Airbnb และรีสอร์ตส่วนตัว ก่อนจะมาจบที่บ้านตากอากาศในท้ายที่สุดนั้น ตลอดการปรับเปลี่ยนของโปรแกรมและการออกแบบ มีสิ่งเดียวที่ผู้ออกแบบและเจ้าของเห็นพ้องต้องกันและพยายามรักษาไว้ คือ การให้ความเคารพต่อเพื่อนบ้านหรือชาวบ้านที่อยู่มาก่อน สัตว์ประจำถิ่นที่อยู่มาก่อน รวมถึงต้นไม้ที่อยู่มาก่อนให้มากที่สุด แก่นแท้ของ แบบบ้านไม้ Binary Wood House จึงมีจุดเริ่มต้นมาจาก “การแสดงความเคารพ” ในแทบทุกส่วน


“บ้านนี้ไม่ได้มีคอนเซ็ปต์ว่าหน้าตาเหมือนเขา บ้านนี้เป็นการรวมหลาย ๆ เรื่องเข้าด้วยกัน เรารู้สึกว่าถ้าคอนเซ็ปต์มันดูไม่จริง มันก็ไม่เกิดประโยชน์กับโลก แต่เราไม่ได้ต่อต้านนะ เราแค่เอาเรื่องนี้มาเป็นแนวคิดแล้วสรุปว่าบ้านหลังนี้จะรบกวนดินให้น้อย รบกวนต้นไม้ให้น้อย รบกวนพืชให้น้อย รวมทั้งรบกวนเพื่อนบ้านและชาวบ้านให้น้อย” สณทรรศ ศรีสังข์ หนึ่งในทีมผู้ออกแบบบอกกับเรา


บ้านถ่อมตน

ด้านโครงสร้าง ผู้ออกแบบเลือกใช้เหล็กเป็นโครงสร้างหลัก โดยมองว่าโครงสร้างเหล็กนอกจากสามารถรื้อถอนและนำกลับมาใช้ได้ใหม่ ยังส่งผลกระทบต่อพื้นที่ก่อสร้างน้อยกว่าโครงสร้างคอนกรีต โดยเฉพาะน้ำปูนหรือคอนกรีตที่เหลือจากการเทในแต่ละครั้ง หลายหนทำให้สิ่งมีชีวิตและพืชพันธุ์ในพื้นที่เหล่านั้นได้รับผลกระทบจากการที่ผู้รับเหมาขาดการจัดการและขาดระเบียบวินัยที่ดีในการรักษาความสะอาดหลังจบงาน

องค์ประกอบของบ้านในส่วนผนัง ผู้ออกแบบเลือกใช้ผนังไม้เป็นหลัก เพราะไม้คือวัสดุที่สามารถปลูกทดแทนได้และยังใช้พลังงานไม่มากในการแปรรูป โดยกว่า 80% ของไม้ที่ใช้เป็นไม้เก่านำกลับมาใช้ใหม่แบบคละชนิด โดยคัดแยก ล้างหน้าไม้ และแบ่งแยกให้เหมาะกับงานและหน้าที่อันแตกต่างกันตามพื้นที่ใช้สอยของบ้าน

รูปแบบของผนังไม้ ผู้ออกแบบได้ทำการศึกษารูปแบบลักษณะของเรือนโคราช ซึ่งเป็นเรือนไม้พื้นถิ่นของจังหวัดนครราชสีมา ที่มีรูปแบบเฉพาะตัวมาประยุกต์ใช้ให้สอดรับไปกับงบประมาณที่มีอย่างจำกัด ในขณะเดียวกันก็ใช่ช่างไม้พื้นบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นซึ่งมีความเข้าใจงานพื้นถิ่นรวมถึงเพื่อลดข้อจำกัดเรื่องการเดินทางไปในตัว ทั้งนี้ผู้ออกแบบอธิบายว่าในกรณีนี้อาจจะต้องมีการปรับตัวเข้าหากันระหว่างช่างกับผู้ออกแบบ ในเรื่องวิธีการทำงานและความเข้าใจหลายอย่าง เพื่อทำความเข้าใจกับสถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่

ดังที่ผู้ออกแบบบอกกับเราว่า “พยายามหลีกเลี่ยงการแทรกต้นไม้เข้าไปใกล้บ้าน และไม่นำบ้านเข้าไปใกล้ชิดต้นไม้จนเกินไป” เพราะด้วยความที่ในพื้นที่มีกลุ่มไม้พะยูงขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นด้านทิศใต้ และเป็นตำแหน่งสูงสุดของที่ดินในลักษณะเนินเขาที่วางตัวในแนวเหนือ-ใต้ ซึ่งจะช่วยพรางตาจากบ้านใกล้เคียง บ้านจึงถูกรักษาระยะห่างโดยเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าวและเลือกพื้นที่โล่งถัดมา ซึ่งมีต้นพะยูงกระจายตัวแบบหลวม ๆ ถึงกระนั้นตัวอาคารยังขยับเข้าใกล้ต้นพะยูงบางต้นเพื่อใช้ร่มไม้บังแดดทิศตะวันตกในช่วงเย็น โดยเป็นการดำรงอยู่แบบพึ่งพาอาศัยกันตามกฏชีววิทยา


บ้านสู้แดดบ่าย

ด้วยรูปทรงของที่ดินที่มีลักษณะยาวตั้งฉากทิศตะวันออก-ตะวันตก ทำให้เจ้าของบ้านมีความต้องการที่จะเปิดมุมมองของบ้านไปทางทิศตะวันตกเป็นหลัก และทิศตะวันออกเป็นรอง ผู้ออกแบบจึงแก้ปัญหาความร้อนในช่วงบ่ายจรดเย็นโดยอ้างอิงตารางการใช้ชีวิตที่สัมพันธ์กับพื้นที่ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้น

ผู้ออกแบบสรุปว่า สมาชิกในบ้านน่าจะใช้ชีวิตในพื้นที่ส่วนกลางเป็นหลักในช่วงเวลาบ่าย จึงออกแบบบ้านสู้แดดบ่าย 2 วิธี คือ หนึ่ง ออกแบบให้ห้องนั่งเล่นสามารถเปิด-ปิดได้ คล้ายศาลา เพื่อรับลมที่พัดผ่านเกือบจะตลอดวันของพื้นที่สันเขา และวางตำแหน่งให้ใกล้ต้นพะยูง เพื่อเป็นกำบังแดดในทิศตะวันตก รวมทั้งเตรียมบ่อน้ำตื้น (reflecting pond) เพื่อดึงความชื้นเข้ามาในอาคาร


สอง มีการกระจายตัวของพื้นนั่งเล่นในช่วงบ่าย เพื่อให้สมาชิกมีทางเลือกมากกว่าหนึ่ง ทั้งในห้องนั่งเล่น เตียงตาข่ายใต้ต้นไม้ ชานด้านทิศเหนือ หรือแม้แต่ชิงช้าด้านทิศตะวันออก ด้วยการออกแบบนี้เองเสมือนกับเป็นการเสนอพื้นที่ทางเลือก ที่จะเอื้อให้ผู้พักอาศัยที่ปกติจะใช้ชีวิตอยู่ในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศเป็นส่วนใหญ่จากกรุงเทพฯ สามารถลดการใช้เครื่องปรับอากาศเวลาที่มาพักอาศัยที่บ้านหลังนี้ไปโดยปริยาย


บ้านยกใต้ถุน

ผู้ออกแบบเลือกการยกพื้นสูง เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันของสัตว์มีพิษ ประจำถิ่นและคนผู้มาใหม่ ทั้งยังเป็นความต้องการของผู้ออกแบบที่จะรบกวนผืนดินและพืชพรรณในพื้นที่ให้น้อยที่สุด ซึ่งข้อดีของการยกพื้นสูงนั้นจะช่วยระบายความชื้นจากผิวดินได้ดีกว่า รวมถึงยังเป็นการเพิ่มพื้นที่ซึมน้ำ และเป็นการทอนรูปทรงอาคารให้ล้อไปตามระดับเนินเขา เพื่อลดการมีตัวตนของอาคารที่จะเป็นรบกวนผู้อยู่อาศัยเดิม


บ้านฐานสอง

จากความต้องการด้านพื้นที่ใช้สอยจำนวนมากของเจ้าของบ้าน กอปรกับความต้องการที่จะยกอาคารให้สูงเพื่อเปิดมุมมองรับวิวธรรมชาติให้มากที่สุด ทำให้ผู้ออกแบบจึงแก้ปัญหาทัศนะอุจาด โดยการยกและเว้นระยะของก้อนอาคาร หรือที่ผู้ออกแบบบอกว่าเป็นการ “เติมช่องไฟ” เข้าไปในอาคาร ด้วยระบบ มีกับไม่มี,  0 กับ 1 เพื่อให้ลดความมีตัวตนของงานสถาปัตยกรรมไม่ให้ข่มกับธรรมชาติ ทั้งยังเป็นการให้เกียรติกับผู้ที่มาก่อน บางส่วนของอาคารจึงสามารถเป็นได้ทั้ง 0 และ 1 ตามการปรับเปลี่ยนของผู้พักอาศัย โดยระยะระหว่างเสาโครงสร้างนั้นสัมพันธ์กับความสูง และใช้ระบบโมดูลาร์ในการออกแบบเพื่อให้ช่างก่อสร้างทุกคนนั้นทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้นและไม่ซับซ้อน โดยมิติของความ กว้าง ยาว และสูงอยู่ที่ 3.40 เมตร ในขั้นตอนการออกแบบนั้น ผู้ออกแบบทำการจัดเรียงกล่องขนาด 3.40 เมตร ด้วยระบบ เปิด-ปิด, 0 และ 1 ให้สัมพันธ์กับพื้นที่ใช้สอย และการวิเคราะห์ในมิติต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้น


บ้านไม้ ฐานสองที่เจตนารบกวนโลกให้น้อยด้วยการออกแบบบ้าน อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://realestatebb.com/

807
เคยสงสัยกันบ้างมั้ยว่า ทำไมบริษัทต่างๆ ส่วนมากถึงต้องมีชุดยูนิฟอร์ม หรือชุดเครื่องแบบ แน่นอนว่า ชุดยูนิฟอร์มนั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงาม แต่กลับมีประโยชน์อื่นๆที่แฝงอยู่มากมาย ทั้งในเรื่องทางธุรกิจอย่างเช่นการสร้างแบรนด์ หรือจะเป็นเหตุผลในทางจิตวิทยา เช่น การสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งเราจะมาพูดถึงประโยชน์ของการมีชุดเครื่อแบบกันในบทความนี้ โดยยกตัวอย่างกรณีของชุดยูนิฟอร์มสำหรับแม่บ้าน หรือพนักงานทำความสะอาดนั่นเอง

 
ทำไมชุดยูนิฟรอ์มพนักงานจึงมีความสำคัญ?

เรื่องความสำคัญของชุดยูนิฟอร์มนั้น เราอาจจะสามารถแยกได้เป็นสองด้านใหญ่ๆ ได้แก่ ด้านการใช้งานและที่เป็นประโยชน์แฝง

ด้านการใช้งาน : สำหรับพนักงานนั้น ชุดยูนิฟอร์มที่เหมาะสมกับหน้าที่ของแต่ละคนจะช่วยทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและคล่องตัวมากขึ้น เช่น การที่ชุดแม่บ้านจะต้องมีผ้ากันเปื้อนก็เป็นเพราะต้องการป้องกันเสื้อผ้าจากคราบสกปรกต่างๆ เพราะการซักผ้ากันเปื้อนนั้นง่ายกว่าการซักเสื้อผ้ามาก นอกจากนี้ ตรงผ้ากันเปื้อนอาจจะมีกระเป๋าสำหรับใส่อุปกรณ์บางอย่าง เช่น กุญแจห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด หรือปากกา สมุด เป็นต้น

         
ด้านประโยชน์แฝง :  ชุดยูนิฟอร์มสามารถเป็นสื่อโปโมตแบรนด์ของคุณได้ เช่น การปักโลโก้ หรือชื่อกิจการของคุณลงไปในชุดยูนิฟอร์ม จะทำให้เวลาพนักงานออกไปนอกบริษัท ก็จะเป็นการโปรโมตแบรนด์ไปในตัว นอกจากนั้นแล้ว ชุดยูนิฟอร์มที่ถูกออกแบบมาอย่างดี ยังจะทำให้ผู้อื่นนั้นรู้สึกถึงความเป็นมืออาชีพและน่าเชื่อถืออีกด้วย

         
ไม่เพียงแต่ประโยชน์ในด้านธุรกิจ แต่ชุดยูนิฟอร์มยังให้ประโยชน์ในเชิงจิตวิทยา ในการทำให้ทุกๆคนในองค์กรณ์ให้หล่อหลอมตัวเองเข้ากับชื่อบริษัท และเกิดความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่ว่านี้ ก็จะส่งผลดี ทำให้องค์กรของคุณเข้มแข็งขึ้นนั่นเอง

 

การเลือกชุดยูนิฟอร์มพนักงานที่เหมาะสม

อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่า ชุดยูนิฟอร์มนั้นมีความสำคัญในเรื่องของการสร้างแบรนด์ เพราะมันสามารถสะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ ดังนั้น หากว่าคุณเลือกชุดยูนิฟอร์มที่ดูแย่ ไม่มีคุณภาพ บริษัทของคุณก็จะดูไม่เป็นมืออาชีพ ดังนั้น เวลาที่เลือกชุดยูนิฟอร์มจึงต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน และเลือกร้านที่มีคุณภาพ โดยสิ่งที่คุณควรคำนึงถึงเมื่อคิดถึงชุดยูนิฟอร์มก็คือ

1.    การใช้งาน แน่นอนว่า ชุดยูนิฟอร์มจะต้องช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สวมใส่ ดังนั้น อย่าเลือกชุดที่มีชิ้นส่วนหรือของตกแต่งรุ่มร่ามเกินความจำเป็นต่อหน้าที่ของพนักงานตำแหน่งนั้นๆ เช่น การเพิ่มทั้งผ้าพันคอ หมวก ถุงน่องให้กับชุดยูนิฟอร์มแม่บ้าน ซึ่งเยอะเกินไปและอาจจะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ได้

2.    โลโก้และชื่อแบรนด์ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการใช้ชุดยูนิฟอร์มให้เกิดประโยชน์ในด้านการโปรโมตแบรนด์ ดังนั้น อย่าลืมเพิ่มมันลงไปในชุดยูนิฟอร์มด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การใส่โลโก้ และชื่อแบรนด์ลงไปในชุดยูนิฟอร์มนั้น จะต้องทำอย่างมีรสนิยม ดูพอดีๆ ไม่ยัดเยียดเกินไป อย่างเช่น การเอาโลโก้มาทำเป็นลายเสื้อนั้น ก็ดูจะเยอะเกินไป ควรจะมีแค่อยู่ตรงอก หรือบริเวณบ่าด้านพลังก็พอแล้ว เป็นต้น

3.    ให้ความสำคัญแก่คนใส่หรือก็คือพนักงาน บางครั้งชุดยูนิฟอร์มของบริษัทก็ถูกออกแบบ หรือเลือกมาโดยไม่คำนึงถึงตัวคนใส่ หรือก็คือพนักงานนั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะอย่าลืมว่า ชุดยูนิฟอร์มพนักงานเป็นชุดที่พนักงานจะต้องใส่ออกจากบ้านทุกวัน ยกเว้นวันหยุด และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากจะเริ่มวันใหม่ด้วยการหยิบเอาชุดน่าเกลียดๆ ออกมาจากตู้เสื้อผ้าหรอกน่า ดังนั้น เวลาที่ออกแบบ หรือเลือกชุดยูนิฟอร์ม อย่าลืมคำนึงถึงคนที่จะใส่ด้วยเสมอ


ชุดยูนิฟอร์ม สามารถส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจของคุณได้อย่างไร? อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://uniformdeluxe.com/

808
ติดแอร์แบบฝังฝ้าเพดานดีไหม  แอร์แบบคาสเซ็ทหรือแอร์แบบฝังฝ้าเพดาน (Cassette Type) ที่พบเห็นตามร้านค้า อาคาร หรือโครงการบ้านยุคใหม่ที่มีดีไซน์ทันสมัยและมีมูลค่าสูงเนื่องจากตัวเครื่องมีรูปลักษณ์ที่สวยงามกลมกลืนกับสถานที่ได้เป็นอย่างดี จริงๆ แล้วแอร์แบบคาสเซ็ทไม่ได้มีดีแค่หน้าตา ใครที่กำลังมองหาแอร์หรือกำลังตัดสินใจว่าจะใช้แอร์แบบคาสเซ็ท ดีไหม วันนี้เรารวบรวมจุดเด่นและข้อควรคำนึงก่อนตัดสินใจมาให้

 
จุดเด่นของแอร์ฝังฝ้าเพดานหรือแบบคาสเซ็ท (Cassette Type)


ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้ง

ข้อดีของการติดตั้งแอร์แบบคาสเซ็ทนั้นจะฝังตัวเครื่องพร้อมท่อน้ำยาลงบนฝ้า จึงทำให้ไม่เปลืองพื้นที่บนผนังและไม่มีท่อน้ำยารบกวนสายตา ทำให้ห้องดูโล่งโปร่งสบาย ถ่ายเทอากาศได้ดี เหมาะสำหรับห้องที่ต้องการความสวยงามหรือมีข้อจำกัดในการติดตั้ง เช่น ห้องที่มีดีไซน์ส่วนใหญ่เป็นกระจก หรือไม่มีพื้นที่ที่เหมาะสมบนผนัง ตอบโจทย์บ้าน อาคาร ออฟฟิสยุคใหม่ที่มีการตกแต่งทันสมัย


รูปลักษณ์ดีไซน์ที่เรียบหรู

จุดเด่นที่เห็นชัดที่สุดของแอร์คาสเซ็ทคือหน้าตาที่สวยงาม ด้วยดีไซน์ที่เรียบหรูและการฝังซ่อนใต้ฝ้า งานละเอียด ทำให้ตัวเครื่องดูกลมกลืนกับห้องมากกว่าแอร์ชนิดอื่นๆ สามารถเข้าได้กับการตกแต่งภายในของบ้าน ร้านค้า คาเฟ่ หรือสำนักงานทุกสไตล์อย่างลงตัว


กระจายลมได้รอบทิศทาง

แอร์แบบคาสเซ็ท มีจุดเด่นที่รูปลักษณ์ และเหนือกว่าแอร์ชนิดอื่นคือเรื่องของการกระจายลม ที่สามารถทำได้ตั้งแต่ 4 ทิศทางไปจนถึงรอบทิศทางแบบ 360 องศา บวกกับตำแหน่งการติดตั้งกลางห้องที่ช่วยให้กระจายความเย็นได้ทั่วถึงอย่างรวดเร็ว

ถือว่าเป็นแอร์ประเภทที่สามารถทำความเย็นได้เร็วที่สุด ทั้งยังสามารถควบคุมทิศทางกระจายลมได้อีกด้วย เลือกได้ว่าจะส่งลมไปยังพื้นที่จุดไหนให้มากยิ่งขึ้น หรือจะควบคุมไม่ให้ลมไปปะทะตัวคนมากเกินไปก็ทำได้

ตัวเครื่องยังมี BTU สูงกว่าแอร์แบบติดผนัง เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาแอร์สำหรับใช้งานภายในห้องขนาดใหญ่ มั่นใจได้เลยว่าแอร์แบบคาสเซ็ทให้ความเย็นได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงอย่างแน่นอน


ประหยัดไฟ

หากคิดว่าแอร์แบบคาสเซ็ทเปลืองไฟ ขอบอกว่าคงต้องคิดใหม่ เพราะแอร์แบบคาสเซ็ทมีระบบการทำงานแบบอินเวอร์เตอร์ให้เลือก ซึ่งมีอัตราการกินไฟน้อย รวมถึงทนทานต่อไฟตก ไฟเกิน มั่นใจได้ถึงการประหยัดพลังงาน

โดยเฉพาะในรุ่นที่มีการรับรองด้วยฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมีการทำงานที่เงียบกว่าแอร์ธรรมดา ไม่มีเสียงรบกวนในระหว่างการพักผ่อนหรือการทำงานอย่างแน่นอน ทำให้การพักผ่อนเป็นไปอย่างสุขสบาย ปราศจากเสียงรบกวน

 

ก่อนจะตัดสินใจซื้อแอร์แบบคาสเซ็ท ควรจะต้องรู้อะไรบ้าง

ในขณะที่แอร์แบบคาสเซ็ท มาพร้อมกับดีไซน์และฟังก์ชั่นอันครบครัน ตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ต้องการความสวยงามและทันสมัย ก่อนเลือกใช้งานคุณอาจต้องคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้ด้วย

 
ระบบการติดตั้ง

ในการติดตั้ง ควรเว้นพื้นที่ว่างระหว่างฝ้ากับเพดานห้องประมาณ 30 ถึง 45 เซนติเมตรสำหรับวางตัวเครื่อง หากมีระยะห่างไม่พอก็จะไม่สามารถติดตั้งได้ จึงไม่เหมาะกับห้องที่มีเพดานต่ำ นอกจากนี้ เนื่องจากตัวเครื่องติดตั้งอยู่บนฝ้า จึงแนะนำให้ติดตั้งแอร์ก่อนจะทำงานฝ้าเพดาน เพื่อลดความยุ่งยากในการกรีดเปิดฝ้าและเก็บงานในภายหลัง

 
คำนึงถึงความสูงของห้อง

หากคิดติดแอร์ แบบคาสเซ็ท ลำดับแรกที่ต้องคำนึงคือ เรื่องความสูงของห้อง เนื่องจากแอร์ปล่อย ความเย็นจากด้านบน ระยะพื้นกับ ฝ้าเพดานจึงไม่ควรสูงเกิน 3.5 – 4 เมตร เพื่อให้มั่นใจ ว่าห้องของคุณจะได้รับความเย็นอย่างทั่วถึง

 
ท่อระบบแอร์

ท่อระบบแอร์ (ท่อน้ำยาแอร์และท่อน้ำทิ้งแอร์) ต้องมีคุณภาพ และ มีความหนา ได้มาตรฐานตามที่ ผู้ผลิตกำหนดไว้ นอกจากนี้ ตัวฉนวนหุ้มท่อ ระบบแอร์ ควรมีขนาดหนากว่าปกติทั่วไป เนื่องจากไอน้ำที่เกาะอยู่รอบๆ ท่อ อาจหยดลงฝ้า เพดาน และ สร้างความเสียหาย แก่ตัวฝ้าได้ ทำให้ การเดินท่อน้ำยาแอร์ ฝังฝ้าเพดานนั้น มีความยุ่งยาก มากกว่าแอร์ชนิดอื่น
 

การดูแลบำรุงรักษา

เหมือนกับแอร์ประเภทอื่น ๆ แอร์แบบคาสเซ็ทควรมีการทำความสะอาดขั้นต่ำปีละ 1-2 ครั้งในกรณีใช้งาน ตามบ้านพักอาศัย หากใช้งานในร้านค้า หรือ สำนักงาน ที่มีคนเข้าออกพลุกพล่าน ปริมาณฝุ่นละอองและความสกปรกอาจ มีมากกว่า ที่พักอาศัยทั่วไป จึงควรล้าง ทำความสะอาดปีละ 3-4 ครั้ง ซึ่งจะช่วย ให้แอร์ทำงาน ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และประหยัดค่าไฟ


ซ่อมบำรุงอาคาร: ติดแอร์แบบฝังฝ้าเพดานดีไหม อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://snss.co.th/dt_post/technical-services/

809
บัตรเครดิต KTC VEJTHANI TITANIUM MASTERCARD – สุขภาพครบวงจร (โรงพยาบาลเวชธานี)

    รายได้ขั้นต่า 15,000 บาท/เดือน
    ดอกเบี้ย 18% ต่อปี
    ค่าธรรมเนียมแรกเข้า ฟรี !!
    ค่าธรรมเนียมรายปี ฟรี !!
    ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย 45 วัน

จุดเด่นของบัตรเครดิต

    รับส่วนลดพิเศษ
    รับส่วนลด 50% ค่ารถพยาบาล เมื่อรับผู้ป่วยมาที่โรงพยาบาล
     รับส่วนลด 20% การตรวจสุขภาพประจำปี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
     รับส่วนลด 10% ค่าห้อง ค่ายา ค่ารักษาพยาบาล
    รับส่วนลด 10% เมื่อใช้บริการที่ศูนย์ผิวหนัง เลเซอร์ และความงาม
    IPD Express สิทธิพิเศษจาก VEJTHANI HOSPITAL รับสิทธิพิเศษ IPD Express สามารถขึ้นห้องพักได้ทันที กรณีที่ต้องพักรักษาที่โรงพยาบาล
    สิทธิพิเศษ
    รับฟรีวารสารเพื่อสุขภาพ “วารสาร 37 องศา” ทุก 3 เดือน
    รับส่วนลด 5% ค่าอาหาร (ยกเว้นเครื่องดื่ม) ที่วีว่าคาเฟ่ โรงพยาบาลเวชธานี ชั้น 2
    ประกันการเดินทางต่างประเทศ คุ้มครองอุบัติเหตุวงเงินสูงสุด 4,000,000 บาท
    ฟรีค่าธรรมเนียม รับสิทธิพิเศษฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปีตลอดชีพ โดยไม่มีเงื่อนไข
    สะดวก คุ้มค่าทุกการเดินทางกับ KTC WORLD TRAVEL SERVICE รับส่วนลดสูงสุด 4% สำหรับการซื้อตั๋วเครื่องบินในประเทศ โทร. 02 123 5050 หรือ www.ktcworld.co.th
    ง่าย ปลอดภัย รวดเร็ว ด้วย KTC MASTERCARD Contactless เร็วกว่า และปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยการชำระเงินแบบไร้สัมผัสกับ บัตรเครดิต KTC MASTERCARD Contactless เพิ่มความคล่องตัว ในการใช้จ่าย โดยไม่ต้องเสียบ/ รูดบัตรที่เครื่องอ่านบัตร
    ปลดล็อคชีวิตอนาล็อก ด้วย KTC Samsung Pay ทลายกรอบการรูดบัตรแบบเดิมๆ ช้อปได้ไม่มีลิมิต ด้วยสมาร์ทโฟนของคุณ กับบัตรเครดิต KTC VISA และ KTC MASTERCARD ด้วยบริการ KTC Samsung Pay

สิทธิพิเศษ

    รับลดพิเศษ 50% ค่ารถพยาบาล เมื่อรับผู้ป่วยมาที่โรงพยาบาล
    รับส่วนลด 20% การตรวจสุขภาพประจำปี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
    รับส่วนลด 10% ค่าห้อง ค่ายา ค่ารักษาพยาบาล
    IPD Express สิทธิพิเศษจาก VEJTHANI HOSPITAL รับสิทธิพิเศษ IPD Express สามารถขึ้นห้องพักได้ทันที กรณีที่ต้องพักรักษาที่โรงพยาบาล
    ประกันการเดินทางต่างประเทศ คุ้มครองอุบัติเหตุวงเงินสูงสุด 4,000,000 บาท
    ฟรีค่าธรรมเนียม รับสิทธิพิเศษฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปีตลอดชีพ โดยไม่มีเงื่อนไข
    บริการผู้ช่วยส่วนบุคคลตลอด 24 ชั่วโมง


เงื่อนไขการสมัคร คุณสมบัติของผู้สมัคร

    อายุ 20 ปีขึ้นไป
    มีสัญชาติไทย
    ผู้สมัครจะต้องมีรายได้อย่างน้อย 15,000  บาทขึ้นไป สำหรับพนักงานประจำ และ 15,000  บาทขึ้นไป สำหรับเจ้าของกิจการ
    อายุงานไม่น้อยกว่า 1 ปี สำหรับพนักงานประจำ และดำเนินธุรกิจมาไม่น้อยกว่า 3 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ
    มีหมายเลขโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์มือถือที่สามารถติดต่อได้
    ผ่านการตรวจสอบตามเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคารฯ


เอกสารประกอบการสมัคร

สำหรับผู้มีรายได้ประจำ

    สำเนาบัตรประชาชน หรือสำเนาบัตรข้าราชการ
    สลิปเงินเดือน หรือ หนังสือรับรองเงินเดือน
    สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 3 เดือน หรือ 6 เดือนสำหรับ อาชีพที่มีรายได้ไม่แน่นอน
    หนังสือรับรองเงินเดือน หรือ สลิปเงินเดือน เดือนล่าสุด (ฉบับจริง)
    สำเนาหน้าแรกของสมุดบัญชีธนาคาร ประเภทออมทรัพย์ของผู้สมัคร

   
สำหรับเจ้าของกิจการ

    สำเนาบัตรประชาชน
    หนังสือรับรองบริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด
    ทะเบียนการค้า หรือ หนังสือบริคณห์สนธิ (คัดสำเนาไม่เกิน 3 เดือนล่าสุดนับจากวันที่ออก)
    สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน ของกิจการหรือของผู้กู้
    สำเนาหน้าแรกของสมุดบัญชีธนาคาร ประเภทออมทรัพย์ของผู้สมัคร



สมัครบัตรเครดิต KTC VEJTHANI TITANIUM MASTERCARD อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.checkraka.com/creditcard/

810
เมื่อฟันผุมากจากปัญหาใดก็ตาม จนมีอาการปวดเนื่องจากการติดเชื้อในโพรงประสาทฟัน คนไข้จะไม่รักษารากฟัน ถอนออกเลยได้ไหม? ในบทความนี้ หมอได้รวบรวมคำถามและคำแนะนำ ที่เคยตอบไว้ เพื่อให้ผู้ที่กำลังมีข้อสงสัยต่างๆได้รับความรู้ความเข้าใจในเบื้องต้น

ทั้งนี้ แม้ปัญหาของแต่ละบุคคลอาจมีส่วนคล้ายกัน แต่ก็มักแตกต่างในรายละเอียด กรณีที่เป็นปัญหาเร่งด่วนหรือรุนแรง คนไข้ควรเข้ารับการรักษาจากทันตแพทย์โดยตรง จะดีที่สุดค่ะ

 
ฟันผุมากจนจะไม่เหลือเนื้อฟันอยู่แล้ว ถอนเลยได้ไหมไม่อยากรักษารากฟันน่ะค่ะ?

ถอนได้ค่ะ ถ้าไม่รักษารากฟันก็ควรจะรีบถอนดีกว่า ก่อนที่จะมีอาการอักเสบ ปวด บวม ซึ่งจะทำให้การรักษายุ่งยากมากขึ้นค่ะ

 
ไม่อยากรักษารากฟัน ถ้าถอนฟันกรามออก จะจัดฟันได้ไหม?

ถ้าเราถอนฟันกรามล่างออกจะจัดฟันได้ไหม เพราะไม่อยากรักษารากฟัน มีวิธีไหนบ้างคะ?

หากมีฟันกรามล่างผุแล้วอยากถอนฟันมากกว่ารักษารากฟัน ควรตรวจดูก่อนว่ามีฟันกรามซี่สุดท้ายหรือไม่และตำแหน่งตรงหรือเอียงระดับใด ถ้าฟันซี่สุดท้ายไม่เอียงมากนัก โอกาสที่จะตั้งฟันและเลื่อนฟันมาปิดช่องว่างจากการถอนฟันก็เป็นไปได้ค่ะ

แต่ถ้าฟันคุดอยู่ในลักษณะนอนคงจะตั้งฟันยาก ต้องปรึกษาคุณหมอจัดฟันก่อนเพื่อเอกซเรย์และประเมินค่ะ ถ้าฟันซี่สุดท้ายอยู่ในลักษณะที่ตั้งไม่ได้ หรือตามแผนการจัดฟัน ไม่ควรถอนฟันด้านนั้น ก็ควรรักษารากฟันค่ะ

 
ถ้าไม่รักษารากฟัน แต่ถอนฟันกรามทั้งซ้ายขวาออก จะมีผลอย่างไรบ้าง?

ตอนนี้อายุ 20 ปี มีฟันผุอยู่ด้านบนทั้งซ้ายและขวาซี่ที่ 2 นับจากด้านใน เป็นฟันที่ใช้เคี้ยวอาหารพอดี อยากทราบว่า

    ถ้าถอนแล้วมีผลต่อการรับประทานอาหารมากขนาดไหน?
    จะมีปัญหาเรื่องฟันล้มมั๊ย มากขนาดไหน?
    ถ้าถอนไปแล้วจะมีปัญหาอะไรที่ตามมาอีกบ้าง?


หมอตอบคำถามแต่ละข้อดังนี้นะคะ

    ถ้าถอนฟันผุตำแหน่งนี้ทั้งซ้าย/ขวา ต้องมีผลต่อประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหารแน่นอนค่ะ เพราะเป็นตำแหน่งที่ใช้งานมากที่สุด
    น่าจะมีปัญหาเรื่องฟันล้มมากพอสมควร เพราะเพิ่งอายุ 20 ปี เข้าใจว่าตำแหน่งฟันที่ผุน่าจะเป็นฟันกรามซี่แรก
    หากถูกถอนฟันกรามซี่แรกไป ปัญหาที่จะเกิดตามมาคือ

    ฟันข้างเคียงล้มเอียงเข้าหาช่องว่างที่เกิดจากการถอนฟัน ฟันกรามซี่ในล้มเอียงมาข้างหน้า ฟันกรามน้อยทางข้างหน้าของช่องว่างล้มเอียงไปทางด้านหลัง และซี่ถัดมาจะล้มเอียงตามไปจนพบว่าบางคนมีฟันด้านหน้าห่างเนื่องจากถูกถอนฟันกรามได้
    ฟันคู่สบที่อยู่ด้านตรงข้ามกับช่องว่างจะยื่นยาวขึ้นมาเนื่องจากไม่มีคู่สบ
    ในระยะยาวหากรักษาสุขภาพช่องปากไม่ดีฟันที่ล้มเอียงจะมีปัญหาเรื่องโรคปริทันต์ หากเป็นรุนแรงเรื้อรัง อาจต้องสูญเสียฟันเหล่านี้ไปอีกก็ได้
    หากจะใส่ฟันเมื่อฟันเคลื่อนไปแล้วหรือเอียงจากแนวปกติแล้ว มักจะใส่ได้ไม่ดีเท่าที่ควรบางกรณีต้องจัดฟันแก้ตำแหน่งฟันที่เอียงให้ตรง แล้วจึงใส่ฟันปลอมได้ ทำให้คนไข้เสียเวลาเสียค่าใช้จ่าย

ดังนั้น หากสภาพฟันที่ผุอยู่ในสภาพที่อุดได้หรือรักษารากฟันได้ ควรอุดหรือรักษารากฟันดีกว่าถอนฟันค่ะ ส่วนหลังจากรักษารากฟันแล้วจะอุดได้หรือต้องใส่เดือย+ทำครอบฟันก็คงต้องปรึกษาคุณหมอที่รักษาให้ดูนะคะ ว่าเหลือเนื้อฟันมากน้อยเพียงใดค่ะ

ถ้าไม่อยากรักษารากฟัน และถอนฟัน 2 ซี่นี้ออก ก็ควรใส่ฟันปลอมทดแทนตำแหน่งที่ถอนฟันไป เพื่อให้ใช้งานบดเคี้ยวได้ตามปกติ และไม่เกิดผลเสียต่อฟันซี่อื่นๆค่ะ

 
ฟันตาย รักษาแล้วหายไหมคะ?

ฟันตายส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจาก ฟันผุ ฟันสึก ฟันร้าว ฟันแตก หรือเป็นโรคปริทันต์อย่างรุนแรง จนเกิดการติดเชื้อลุกลามเข้าไปถึงโพรงประสาทฟัน ฟันตายสามารถรักษารากฟันให้ไม่มีอาการเจ็บปวดและใช้งานได้ตามปกติค่ะ แต่ก็จะมีสภาพเป็นฟันตาย

โดยหากยังเหลือเนื้อฟันที่แข็งแรงพอก็จะบูรณะด้วยการอุดฟันหลังจากรักษารากฟันเรียบร้อยแล้ว หากเนื้อฟันที่เหลือไม่แข็งแรงก็ต้องบูรณะด้วยการใส่เดือยฟันและครอบฟันก็จะสามารถรักษาฟันให้ใช้งานได้ต่อไปค่ะ

ส่วนถ้าฟันตายเนื่องจากปัญหาโรคปริทันต์ ก็ต้องรักษารากฟันร่วมกับการรักษาโรคเหงือก และต้องติดตามดูแลรักษาเหงือกให้แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอค่ะ

 

ถอนฟันหรือรักษารากฟันดี?

สวัสดีค่ะคุณหมอ หนูอายุ 20 ปี คือฟันกรามบนหนูผุ 1 ซี่ค่ะ จะถอนหรือรักษารากฟันดีคะ? ถ้าถอนฟันจะล้มมั้ย? จำเป็นต้องจัดฟันมั้ยคะ?

เบื้องต้นควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนว่าฟันกรามที่ผุนั้นสามารถอุดได้หรือไม่ ถ้าฟันผุมากแต่ยังไม่ถึงโพรงประสาทฟัน ไม่เคยมีอาการปวดก็สามารถอุดได้เลย ก็จะไม่ต้องพิจารณาถึงเรื่องจัดฟันหรือรักษารากฟันค่ะ

หากฟันผุถึงโพรงประสาทฟันก็มี 2 แนวทางคือ ถอน หรือรักษารากฟัน ถ้าการสบฟันเป็นปกติไม่มีปัญหาเรื่องการบดเคี้ยวหรือเรื่องความสวยงามก็ไม่จำเป็นต้องจัดฟัน ถ้าสภาพฟันที่ผุยังเหลือเนื้อฟันมากพอที่จะบูรณะได้ก็ควรรักษารากฟันแล้วบูรณะด้วยการอุดหรือครอบฟัน แต่ถ้าสภาพฟันผุมากจนบูรณะไม่ได้แล้ว เมื่อถอนออกก็ควรใส่ฟันปลอม ฟันตำแหน่งอื่นๆก็จะไม่ล้มค่ะ

หากต้องการต้องถอนจริงๆ หรือการสบฟันมีปัญหาที่ควรแก้ไขด้วยการจัดฟัน ก็ควรปรึกษาทันตแพทย์จัดฟันก่อนถอนฟันผุออกค่ะ เพื่อทันตแพทย์จัดฟันจะได้วางแผนการรักษาโดยรวมทั้งหมดก่อน การจัดฟันก็จะง่ายและได้ผลดีกว่าทำเมื่อฟันล้มแล้วค่ะ


ทำรากฟันเทียมในกรุงเทพฯ: ไม่รักษารากฟัน ถอนเลยได้ไหม? อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://globaldentalcomplex.com/th/service/dental-implants/

หน้า: 1 ... 79 80 [81] 82
โพสต์ฟรี ลงประกาศฟรี ลงโฆษณาฟรี google ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ประกาศฟรี ขายฟรี ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google