ฉนวนกันความร้อนกันความชื้นไม่ได้ มีข้อเสียอย่างไรหากฉนวนกันความร้อนไม่สามารถกันความชื้นได้ หรือดูดซับความชื้นได้ง่าย จะเกิดข้อเสียและปัญหาตามมามากมาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของฉนวน อายุการใช้งาน และสภาพแวดล้อมโดยรวม ดังนี้ครับ:
1. ประสิทธิภาพการกันความร้อนลดลงอย่างมาก:
น้ำเป็นตัวนำความร้อนที่ดี: อากาศที่แห้งเป็นฉนวนกันความร้อนที่ดี แต่เมื่อฉนวนดูดซับน้ำหรือความชื้นเข้าไป ช่องว่างอากาศที่ทำหน้าที่เป็นฉนวนจะถูกแทนที่ด้วยน้ำ ซึ่งน้ำเป็นตัวนำความร้อนที่ดีกว่าอากาศมาก ดังนั้น ฉนวนที่เปียกชื้นจึงสูญเสียความสามารถในการเป็นฉนวนกันความร้อนไปอย่างมาก
ค่า R-value ลดลง: ค่า R-value (ค่าต้านทานความร้อน) ของฉนวนจะลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อฉนวนเปียกชื้น ทำให้ไม่สามารถสกัดกั้นความร้อนได้อย่างที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ภายในอาคารได้ง่ายขึ้น หรือความร้อนจากภายในรั่วไหลออกไปได้ง่ายขึ้น
2. การเกิดเชื้อรา แบคทีเรีย และกลิ่นไม่พึงประสงค์:
แหล่งสะสมเชื้อรา: ความชื้นที่ติดค้างอยู่ในฉนวนจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของเชื้อรา แบคทีเรีย และจุลินทรีย์อื่นๆ
กลิ่นอับชื้น: การสะสมของเชื้อราและแบคทีเรียจะทำให้เกิดกลิ่นอับชื้นไม่พึงประสงค์ภายในอาคาร
ปัญหาสุขภาพ: สปอร์ของเชื้อราและสารระเหยจากแบคทีเรียสามารถแพร่กระจายในอากาศและส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยหรือพนักงาน เช่น โรคภูมิแพ้ โรคระบบทางเดินหายใจ หรืออาการระคายเคืองต่างๆ
3. ความเสียหายต่อโครงสร้างอาคาร:
การผุกร่อนของโครงสร้าง: ความชื้นที่แทรกซึมเข้าไปในฉนวนและสัมผัสกับโครงสร้างอาคารที่เป็นโลหะ (เช่น โครงหลังคา โครงฝ้า) หรือไม้ เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดสนิม การผุกร่อน หรือการเน่าเปื่อยของวัสดุนั้นๆ
ความเสียหายต่อฝ้าเพดาน/ผนัง: น้ำหรือความชื้นที่สะสมในฉนวนอาจหยดลงมาทำให้ฝ้าเพดานหรือผนังเสียหาย เกิดคราบสกปรก บวม หรือพังถล่มลงมาได้
ลดอายุการใช้งานของอาคาร: ความเสียหายต่อเนื่องที่เกิดจากความชื้นจะทำให้อาคารเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมใหญ่
4. ปัญหาด้านพลังงานและค่าใช้จ่าย:
ค่าพลังงานที่สูงขึ้น: เมื่อประสิทธิภาพของฉนวนลดลง ระบบปรับอากาศหรือระบบทำความร้อนภายในอาคารจะต้องทำงานหนักขึ้นและใช้พลังงานมากขึ้นเพื่อรักษาอุณหภูมิที่ต้องการ ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าหรือค่าเชื้อเพลิงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและเปลี่ยนฉนวน: ฉนวนที่เสียหายจากความชื้นอาจต้องได้รับการเปลี่ยนใหม่ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายทั้งค่าวัสดุและค่าแรงในการรื้อถอนและติดตั้งใหม่
5. ความเสียหายต่อผลิตภัณฑ์หรืออุปกรณ์:
ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร ยา อิเล็กทรอนิกส์ หรือคลังสินค้าที่ต้องการควบคุมความชื้น การที่ฉนวนดูดซับความชื้นและทำให้เกิดการควบแน่น อาจส่งผลให้ผลิตภัณฑ์หรืออุปกรณ์ที่อยู่ภายในเสียหายได้
ตัวอย่างของฉนวนที่อาจมีปัญหากับความชื้นหากไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม:
ฉนวนใยแก้ว (Fiberglass/Glass Wool): หากไม่มีการบุฟอยล์อลูมิเนียม หรือฟอยล์เกิดการฉีกขาด ใยแก้วจะดูดซับความชื้นได้ง่าย และประสิทธิภาพจะลดลงอย่างมาก
ฉนวนใยหิน (Rockwool/Mineral Wool): คล้ายกับใยแก้ว แต่โดยธรรมชาติใยหินจะดูดซับน้ำได้น้อยกว่า แต่ก็ยังคงได้รับผลกระทบหากโดนน้ำปริมาณมากและต่อเนื่อง
ดังนั้น การเลือกฉนวนกันความร้อนที่มีคุณสมบัติไม่ดูดซับน้ำ (Non-absorbent) หรือมีโครงสร้างเซลล์ปิด (Closed-cell) เช่น โฟม PIR หรือ PU หรือมีการบุผิวด้วยวัสดุที่ป้องกันความชื้น (เช่น อลูมิเนียมฟอยล์) อย่างสมบูรณ์และติดตั้งอย่างถูกวิธี จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ฉนวนสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตลอดอายุการใช้งาน. หากฉนวนกันความร้อนไม่ได้ออกแบบมาให้กันความชื้นได้ อาจต้องมีการติดตั้งแผ่นกั้นไอระเหย (Vapor Barrier) เพิ่มเติมเพื่อป้องกันความชื้นไม่ให้เข้าไปในฉนวนได้.