วิธีเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ให้เหมาะสม ก่อนตัดสินใจซื้อมาใช้งาน

  • 0 ตอบ
  • 2964 อ่าน
หากคุณกำลังคิดอยากจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า EV มาใช้สักคัน จะต้องดูจากปัจจัยอะไรบ้าง และเตรียมความพร้อมเรื่องไหนบ้าง เรามีวิธีเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาบอก


วิธีเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

เชื่อว่าท่านที่เข้ามาในบทความนี้ ต้องมีเป้าในการครอบครองรถไฟฟ้าแล้วอย่างแน่นอน และต้องผ่านการคิดแล้วว่า “รถยนต์ไฟฟ้าเหมาะกับเราแล้วหรือยัง” วันนี้เรามาดูกันว่า การเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสักคัน ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง?


1. ดูจุดประสงค์ของการใช้งาน

เพราะการใช้งานของแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกัน จุดประสงค์การใช้งานรถยนต์ของแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะใช้รถเพื่อการทำงาน อาทิเช่น

    ขับไปทำงานออฟฟิศ ออกจากบ้านตอนเช้า กลับบ้านตอนเย็น ในเส้นทางเดิมประจำ
    ขับไปเรียน, ขับไปรับ-ส่งลูก
    ขับในเมืองเป็นหลัก
    ขับเพื่อสันทนาการ
    ใช้ขับทางไกล

สิ่งแรกที่ต้องเช็คเลย นั่นคือการใช้งานครับ ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน รถยนต์ไฟฟ้าเหมาะกับการใช้งาน "ทุกรูปแบบ" ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีตารางการใช้ชีวิตใน 1 สัปดาห์เหมือนกันเกิน 70% จะเข้าข่าย "ควรใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า" เป็นอย่างยิ่ง เพราะตารางชีวิตประจำวันของคุณนั้นเหมือนเดิมตลอดนั่นเอง

สิ่งที่แตกต่างออกไปจากตารางชีวิตแบบนี้นั่นคือ "เลิกเข้าปั้มเพื่อเติมน้ำมัน" เพราะไลฟ์สไตล์ของคุณจะเปลี่ยนมาเป็นการถึงบ้านปุ้บ เสียบชาร์จแบต ตอนเช้าดึงสายชาร์จออก ใช้งานรถแบบพลังงานเต็มเปี่ยม 100% ทุกๆ วัน นั่นเองครับ


ดูจุดประสงค์ของการใช้งาน

รถยนต์ไฟฟ้า จะไม่เหมาะกับคนที่เดินทางไกลบ่อยๆ ในเส้นทางใหม่ๆ สม่ำเสมอ โดยเฉพาะการเดินทางในเส้นทางที่ไม่ใช่ทางหลัก เพราะปัจจุบันนี้ ณ วันที่เขียนบทความ (2 มีนาคม 2565) จุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ DC Fastcharge จัดว่าคลอบคลุมเส้นทางสายหลักระหว่างหัวเมืองทั้งหมดแล้ว แต่ในเส้นทางสายรอง รวมไปถึงตามอำเภอแยกย่อยต่างๆ นั้นยังไม่ค่อยมีจุดชาร์จแพร่กระจายเท่าที่ควรครับ

คนที่ใช้งานรถยนต์ในกลุ่มขับรถในระยะทางเกินกว่า 400 กม./วัน รวมไปถึงไม่ค่อยวิ่งสายหลักเท่าไหร่ ยังคงเหมาะกับรถยนต์แบบไฮบริด หรือรถยนต์เครื่องสันดาปแบบเดิมอยู่ เพราะหาแหล่งพลังงานได้ง่ายกว่าครับ

รถยนต์ไฟฟ้า ไม่เหมาะกับคนที่เดินทางไกลบ่อย


2. ดูประสิทธิภาพของรถยนต์ไฟฟ้า

เมื่อผ่านเงื่อนไขการใช้งานจากข้อแรกมาแล้ว ถัดมาให้คำนึงถึง "ประสิทธิภาพของตัวรถ" ว่าตรงกับวัตถุประสงค์การใช้งานของคุณมากเพียงพอหรือไม่ เริ่มต้นจาก

ระยะทางขับขี่ ต่อ 1 การชาร์จ

ดูว่ามีระยะทางเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปของคุณหรือไม่ หากคุณขับรถวันละประมาณ 100 กม. ก็สามารถเลือกรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใดก็ได้ หรืออาจจะเป็นรุ่นความจุแบตเตอร์รี่ขนาดมาตรฐานก็ได้ เพราะมักจะมีราคาวางจำหน่ายถูกกว่ารุ่นแบตเตอร์รี่ความจุสูงถึงหลักแสนบาทเลยทีเดียว โดยปริมาณแบตเตอร์รี่นั้นก็เหมือนกับความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง นั่นเองครับ

แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ขับรถค่อนข้างไกล หรืออยากเผื่อใช้เดินทางไกลด้วย ก็ควรเลือกรุ่นที่มีความจุแบตเตอร์รี่สูงเอาไว้ก่อน เพราะ "เหลือ ดีกว่าขาด"


ขนาดมอเตอร์ขับเคลื่อน

จัดเป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจ เพราะรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีแรงบิดที่มหาศาลมากๆ แต่ก็ใช่ว่าจะแรงเสมอไป ในรถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นนั้น ทางผู้ผลิตรถยนต์อาจเลือกใส่มอเตอร์ขับเคลื่อนขนาดเล็ก ซึ่งข้อดีคือประหยัดพลังงานไฟฟ้า ข้อเสียคือการรีดเค้นพลังมันมากๆ ก็จะทำให้มันร้อนเร็ว ส่งผลให้เกิด "ไฟเต่า" อันเป็นระบบป้องกันการเสียหายของอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าของตัวรถอันเกิดจากความร้อน นั่นเอง

ส่วนรถที่มีมอเตอร์ขนาดใหญ่ ก็เปรียบเสมือนรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ มอเตอร์ใหญ่ กำลังก็เยอะตาม แต่ก็กินไฟเยอะตามไปด้วยเช่นกัน ข้อดีคือรถจะมีกำลังเหลือๆ ใช้เร่งแซงใครก็สบาย ใช้ขึ้น-ลงดอยก็ชิลๆ แต่ถ้าเค้นมากเกินกำลังมันก็ร้อนได้


ระบบระบายความร้อนของแบตเตอร์รี่

จุดนี้จัดว่าสำคัญมากๆ เป็นข้อแรกๆ เลยครับ นอกจากปริมาณแบตเตอร์รี่ที่มีความจุเพียงพอต่อการใช้งานของเราแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงนั้นคือ "ระบบระบายความร้อน" ของแบตเตอร์รี่ครับ เป็นข้อที่สำคัญมากสำหรับคนที่ขับรถไฟฟ้าเดินทางไกล เพราะการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าตลอดเวลานั้น จะก่อให้เกิดความร้อนที่แบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้าในระดับหนึ่ง และความร้อนจะเพิ่มสูงขึ้นมากกับการชาร์จแบตเตอร์รี่แบบ DC Fast charge

ในรถยนต์ที่ระบบระบายความร้อนแบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้าด้วยอากาศ ย่อมเสียเปรียบระบบระบายความร้อนด้วยน้ำอย่างมาก เนื่องจากอากาศประเทศไทยนั้นจัดว่าร้อนมากๆ แต่นิสัยของแบตเตอร์รี่ในรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่นั้นจะไม่ชอบความร้อน และก็ไม่ชอบหนาวไปด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วตัวแบตฯ เองควรมีอุณหภูมิอยู่ราวๆ 25-40 องศาเซลเซียสครับ

หากแบตเตอร์รี่ร้อนเกินไป สิ่งที่จะเกิดขึ้นนั่นคือ "ความเร็วในการชาร์จแบตเตอร์รี่แบบ DC Fast charge จะช้าลง" เนื่องจากทุกการชาร์จแบตเตอร์รี่จะส่งผลให้เกิดความร้อนที่ตัวแบตฯ นั่นเอง ยิ่งเราไป DC Fast charge เข้าไปอีก ตัวแบตฯ ก็จะได้รับไฟฟ้ามาก ความร้อนก็จะเพิ่มสูงขึ้น ตัวระบบจึงทำการลดความเร็วในการชาร์จฯ เพื่อรักษาอุณหภูมิในอยู่ในระดับที่เหมาะสมนั่นเอง และพอลดความเร็วในการชาร์จแล้ว ระยะเวลาในการชาร์จก็จะเพิ่มเข้าไปอีก ส่งผลให้เราต้องใช้เวลาในการชาร์จแบตเตอร์รี่นานขึ้น


ความสามารถในการรับพลังงานไฟฟ้าของแบตเตอร์รี่

มีผลโดยตรงต่อระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอร์รี่ ยิ่งรถยนต์ที่มีสเปกรองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าสูงๆ ก็ยิ่งทำให้คุณชาร์จแบตเตอร์รี่เต็มเร็วมากยิ่งขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้วจะรองรับการชาร์จแบบ AC ที่ 3.6 kW ขึ้นไป และ DC ที่ 50 kW ขึ้นไป



3. ออปชันที่ให้มีมากน้อยแค่ไหน

ถัดมาในเรื่องของออปชัน ก็ไม่ต่างจากรถยนต์แบบเดิมที่เราใช้งานกันเลยครับว่าออปชั่นที่ให้มากับรถนั้นเพียงพอต่อการใช้งานเราหรือไม่ เพิ่มเงินไปเอาออปชั่นเพิ่มแล้วคุ้มหรือไม่คุ้ม อันนี้แล้วแต่ความต้องการของท่านเองว่าต้องการอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็น

    ซันรูฟ
    ระบบ Adaptive Cruise Control
    Auto Pilot
    ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ
    กล้องรอบคัน เป็นต้น

ซึ่งส่วนนี้ก็จัดว่าเป็นจุดที่ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้านั้นเพิ่มขึ้น หรือลดลงได้



4. ดูเรื่องหัวชาร์จ

หัวชาร์จแบตเตอร์รี่ อีกหนึ่งจุดที่ต้องคำนึงถึงเสมอ อารมณ์คล้ายๆ หัวชาร์จมือถือ iPhone กับหัวชาร์จ Andriod อะไรแบบนั้น โดยวิธีการเลือก ให้เราคำนึงจาก "ตู้ชาร์จสาธารณะ" ว่าเค้าให้บริการหัวชาร์จแบบใดบ้าง ซึ่งในปัจจุบันนี้ ตู้ชาร์จสาธารณะจะมีหัวชาร์จแบตเตอร์รี่ให้บริการอยู่ 3 แบบหลัก ได้แก่

AC Type 2

หัวชาร์จกระแสสลับแบบมาตรฐานกับรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 90% ทั่วทั้งโลก เป็นหัวชาร์จที่รองรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าสูงสุด 43 kW โดยตู้ชาร์จสาธารณะในประเทศไทย มักจะใช้กำลังการจ่ายไฟอยู่ที่ 22 kW โดยหัวชาร์จแบบ Wallcharge ที่ทางผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแถมให้ก็จะใช้หัวชาร์จมาตรฐานนี้ด้วยเช่นกัน

DC CCS2

หัวชาร์จไฟฟ้ากระแสตรงแบบมาตรฐานยุโรป เป็นหัวชาร์จ DC ที่มีการใช้งานแพร่หลายมากที่สุดในโลก ที่มักใช้งานในรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตจากประเทศจีน, ประเทศโซนยุโรป รวมไปถึงรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศอื่นๆ ที่ใช้มาตรฐานการชาร์จแบบ European Standard

โดยหัวชาร์จประเภทนี้ รองรับการจ่ายพลังงานไฟฟ้าด้วยกระแสไฟฟ้าสูงสุด 350 kW โดยในประเทศไทย ตู้ชาร์จสาธารณะส่วนใหญ่จะรองรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าสูงสุด 50-120 kW

DC CHAdeMO

หัวชาร์จไฟฟ้ากระแสตรงแบบมาตรฐานญี่ปุ่น เป็นหัวชาร์จ DC ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น พัฒนาโดยผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งจะพบได้กับรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นโดยส่วนใหญ่

โดยหัวชาร์จประเภทนี้จะได้รับความนิยมค่อนข้างน้อย ตู้ชาร์จที่มีหัวชาร์จประเภทนี้ในประเทศไทยมีอยู่ 2 แบรนด์เท่านั้น ได้แก่ตู้ชาร์จของ PTT EV และ PEA Volta และมีให้บริการที่ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ญี่ปุ่นยี่ห้อนั้นๆ ซึ่งหัวชาร์จ CHAdeMO รองรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าสูงสุดที่ 100 kW โดยในประเทศไทย ตู้ชาร์จสาธารณะส่วนใหญ่จะรองรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าสูงสุด 50-60 kW
 


5. ดูเรื่องการรับประกัน บริการหลังการขาย ของแถม

บริการหลังการขาย

ในส่วนของบริการหลังการขาย ก็ไม่ต่างจากรถยนต์สันดาปเลยครับ โดยส่วนของรถยนต์ไฟฟ้านั้น สิ่งที่เราต้องคำนึงเพิ่มมากขึ้นนั่นคือเรื่องของ "การรับประกันระบบไฟฟ้าและแบตเตอร์รี่" เพราะเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของรถยนต์ไฟฟ้าครับ โดยเฉพาะแบตเตอร์รี่พลังสูง อันเป็นแหล่งพลังงานขับเคลื่อนหลักของรถยนต์ไฟฟ้า ที่จะต้องได้รับการประกันคุณภาพที่สูงสักหน่อย


การรับประกัน

โดยส่วนใหญ่แล้วผู้จำหน่ายรถยนต์มักให้การรับประกันที่ 5 ปี หรือ 100,000 กม. ขึ้นไป (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) ถ้ามากกว่านี้จะดีมาก เพราะตัวแบตเตอร์รี่เองก็มีราคาจำหน่ายที่สูงมากเช่นกัน หากรับประกันน้อยแล้วเกิดแบตฯ สิ้นอายุก่อนวัยอันควร ก็จะกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายอันหนักโขเลยทีเดียว


ของแถม

ถัดมานั่นคือ "ของแถม" สิ่งที่ผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าควรได้แถมมา เปรียบเสมือนสิ่งที่ต้องให้ในกล่องมือถือเครื่องใหม่ นั่นคือ "สายชาร์จฉุกเฉิน และ Home Charger" เพราะรถยนต์ไฟฟ้าที่มีสถานีชาร์จส่วนตัวอย่าง Home Charger นั้น ทำให้คุณไม่จำเป็นต้องไปชาร์จข้างนอกบ้านเลย เนื่องจากคุณมีแหล่งพลังงานส่วนตัวที่บ้าน

และ "สายชาร์จฉุกเฉิน" ก็เหมือนเสมือนสายชาร์จมือถือ ที่ต้องแถมมาในทุกกล่องครับ มันจะช่วยชีวิตคุณยามคับขันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสายชาร์จที่สามารถชาร์จไฟฟ้าจากปลั๊ก 3 ตาทั่วไปได้ อันนี้จะถือว่าเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่ดีมากๆ หากตู้ชาร์จที่คุณกำลังไปชาร์จกลับปิดให้บริการ แต่แบตเตอร์รี่ของคุณอยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดไว้ เจ้าสายชาร์จฉุกเฉินนี่แหละ ที่จะช่วยกู้สถานการณ์ไว้ได้ แต่ก็อาจจะใช้เวลาในการชาร์จนานสักหน่อยนะ (ดีกว่าชาร์จไม่ได้ละกัน)


ปลั๊ก 3 ตา ชาร์จรถไฟฟ้า

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับ 5 วิธีการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ก็เรียกได้ว่าแทบไม่แตกต่างจากการเลือกซื้อรถยนต์ปกติเลยครับ แต่ก็อาจจะเพิ่มในเรื่องของความรู้ทางด้านไฟฟ้าเข้ามาประกอบด้วย จะทำให้การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า สะดวกสบายมากยิ่งขึ้นครับ


วิธีเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ให้เหมาะสม ก่อนตัดสินใจซื้อมาใช้งาน อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.checkraka.com/car/?fuel_type=4078&quicksearch_order=306,DESC-326,ASC

 

โพสต์ฟรี ลงประกาศฟรี ลงโฆษณาฟรี google ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ประกาศฟรี ขายฟรี ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google