แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 147
1
เครื่องมือจัดฟันเด็ก EF Line ช่วยปรับสมดุลกล้ามเนื้อ

การจัดฟันในเด็ก ถือว่าเป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่ง สำหรับเด็ก ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้แทบทุกรูปแบบ เนื่องจากในวัยเด็กนั้น มักพบเจอกับปัญหาฟันผุ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการละเลยในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่าน อาจจะคิดว่าการดูแลฟันของเด็กในวัยที่ยังมีฟันน้ำนมอาจจะไม่จำเป็น เพราะคิดว่ายังไงฟันแท้ขึ้นมาแทนที่อยู่แล้ว ซึ่งความคิดนี้ถือว่าเป็นความคิดที่ผิด เพราะฟันน้ำนมส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้ ถ้าหากเรามีฟันที่ผุหรือไม่รักษาสุขภาพช่องปากและฟันตั้งแต่อายุยังน้อย อาจจะส่งผลทำให้เกิดความผิดปกติของการขึ้นของฟันแท้ได้นั่นเอง

ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่ที่มักจะพบได้ก็คือการเกิดฟันซ้อนเก ฟันห่าง ทำให้มีปัญหาในการรับประทานอาหาร บดเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดและส่งผลต่อบุคลิกภาพของเด็ก ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจและอาจจะโดนเพื่อนล้อได้ ดังนั้น จึงนิยมใช้วิธีการเข้ารับการจัดฟันเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพและได้ผลแม่นยำมาก พ่อผู้ปกครอง อาจจะคิดว่าการจัดฟันในเด็กนั้น ยังไม่มีความจำเป็นมากเท่าไหร่ แต่หารู้ไม่ว่า การจัดฟันในเด็กนั้น สามารถทำได้ตั้งแต่อายุตั้งแต่ 4-15 ปี ซึ่งจะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า EF Line ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติได้ ทั้งยัง ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูก โดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุของเด็ก  นอกจากนี้ เครื่องมือการจัดฟัน EF Line ยังช่วยปรับสมดุลของกล้ามเนื้อ ได้อีกด้วย

และในวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเรื่องของเครื่องมือการจัดฟัน EF Line ในแง่ของการปรับสมดุลของกล้ามเนื้อของเด็ก ให้เข้าที่เข้าทางมากยิ่งขึ้น  เพราะเด็กบางคนที่มีพฤติกรรมความเคยชินบางอย่าง เช่น การดูดนิ้ว การแกะเล็บ การกัดริมฝีปาก หายใจทางปากเป็นประจำ หรือมีการกลืนที่ผิดปกติ พฤติกรรมเหล่านี้จะมีผลต่อการเรียงตัวของฟัน หรืออาจมีผลต่อการเจริญเติบโตของใบหน้าและขากรรไกรที่ผิดปกติด้วย ทำให้ต้องมารับการจัดฟันเร็วขึ้น เพื่อป้องกันหรือแก้ไขความผิดปกติเหล่านั้น ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองหรือตัวเด็กเอง ก็ควรตระหนักและให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ในการรักษา กล้ามเนื้อเป็นสิ่งกำหนดรูปร่างของอวัยวะต่างๆ เช่นใบหน้า โดยแท้จริงแล้วกล้ามเนื้อมีความแข็งแรงและมีอิทธิพลเหนือกระดูกมาก ซึ่งพบว่าตำแหน่งและการทำงานของลิ้น กิจกรรมของกล้ามเนื้อรอบปาก และการหายใจผ่านทางจมูกล้วนมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขการสบฟันผิดปกติรวมไปถึงการคงสภาพผลของการจัดฟันในระยะยาว

ซึ่งเครื่องมือการจัดฟัน EF Line ก็มีส่วนที่ช่วยปรับสมดุลให้กับกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยทำให้เด็กจัดฟันง่ายขึ้นและเสร็จเร็วมากขึ้น ทั้งยังเป็นการป้องกันปัญหาการคืนกลับตำแหน่งเดิมของฟันหลังจัดฟันด้วย สำหรับคำถามที่ว่า ถ้าหากเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือการจัดฟัน EF Line แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปหรือเด็กโตขึ้น ฟันจะคืนกลับสภาพเดิมหรือไม่  ในข้อนี้ ต้องอธิบายก่อนว่า ถ้าหากเราเปรียบเทียบผลการจัดฟันแบบสวมใส่เครื่องมือแบบติดแน่น หลังการใส่ EF Line กับแบบที่ไม่ใส่ EF Line แค่จัดฟันอย่างเดียว แบบที่มีการใส่EF Line ร่วมด้วยจะสวยกว่าและแก้ปัญหากระดูกได้ดีกว่า รวมถึงคงสภาพไปตลอดชีวิตจะดีกว่า และไม่ทำให้ฟันไม่เคลื่อนด้วย


ดังนั้น การจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line จึงได้ผลมากกว่าการจัดฟันตอนโต แถมยังมีผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line สามารถพาบุตรหลานของท่านเข้ามาตรวจประเมินช่องปากเบื้องต้นกับทันตแพทย์จากทางคลินิกได้ เพราะทางเรามีทันตแพทย์จัดฟันที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก จึงสามารถให้คำแนะนำได้อย่างถูกต้อง ทำให้บุตรหลานของท่านมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

2
วัสดุที่เหมาะสมสำหรับท่อลมร้อนในโรงงาน

การเลือกใช้วัสดุสำหรับท่อลมร้อนในโรงงานนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะวัสดุแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการใช้งานที่แตกต่างกันไป การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมจะช่วยให้ท่อลมมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกวัสดุ

อุณหภูมิ: อุณหภูมิของอากาศที่ไหลผ่านท่อ
ความชื้น: ระดับความชื้นในอากาศ
สารเคมี: สารเคมีที่ปะปนอยู่ในอากาศ
แรงดัน: แรงดันของอากาศภายในท่อ
การกัดกร่อน: สภาพแวดล้อมที่อาจทำให้เกิดการกัดกร่อน
ความแข็งแรง: ความสามารถในการรับน้ำหนักและแรงกระแทก
วัสดุที่นิยมใช้สำหรับท่อลมร้อน

เหล็กชุบสังกะสี (Galvanized Steel)
ข้อดี: แข็งแรง ทนทาน ราคาไม่แพง ทนต่อการกัดกร่อนได้ดี
ข้อเสีย: น้ำหนักมาก อาจเกิดสนิมได้หากชุบสังกะสีไม่ดีพอ

Galvanized Steel Duct
สแตนเลส (Stainless Steel)
ข้อดี: ทนทานต่อการกัดกร่อนสูง ทนความร้อนได้ดี ไม่เป็นสนิม เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมที่รุนแรง
ข้อเสีย: ราคาสูง

อลูมิเนียม (Aluminum)
ข้อดี: น้ำหนักเบา ทนทานต่อการกัดกร่อน ไม่เป็นสนิม
ข้อเสีย: ราคาสูงกว่าเหล็กชุบสังกะสี

PVC (Polyvinyl Chloride)
ข้อดี: น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย ราคาถูก ทนต่อสารเคมี
ข้อเสีย: ไม่ทนความร้อนสูง อาจเสียรูปได้ง่ายเมื่อโดนความร้อนสูง

FRP (Fiber Reinforced Plastic)
ข้อดี: ทนต่อสารเคมี ทนต่อการกัดกร่อน น้ำหนักเบา
ข้อเสีย: ราคาสูง

การเลือกวัสดุที่เหมาะสม

โรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป: เหล็กชุบสังกะสี หรือสแตนเลส
โรงงานอาหาร: สแตนเลส หรือ PVC ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร
โรงงานเคมี: สแตนเลส หรือ FRP
โรงงานที่มีอุณหภูมิสูง: สแตนเลส หรือ FRP

ปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา

ขนาดของท่อ: เลือกขนาดให้เหมาะสมกับปริมาณอากาศที่ต้องการดูด
ความยาวของท่อ: ท่อที่ยาวมากอาจทำให้เกิดการสูญเสียแรงดัน
จำนวนโค้ง: จำนวนโค้งของท่อจะส่งผลต่อการไหลของอากาศ
สภาพแวดล้อมในการติดตั้ง: สภาพแวดล้อมที่ชื้นหรือมีการสั่นสะเทือน อาจต้องเลือกใช้วัสดุที่มีความทนทานเป็นพิเศษ

ข้อควรจำ

การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมจะช่วยให้ท่อลมมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบและติดตั้งระบบดูดอากาศ เพื่อให้ได้ระบบที่เหมาะสมกับความต้องการของโรงงานของคุณ

3
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


4
ซ่อมบำรุงอาคาร: ข้อสังเกตแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ มีปัญหา

แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์เป็นที่นิยมเพราะประหยัดไฟและทำความเย็นได้คงที่ แต่ก็มีจุดสังเกตเฉพาะตัวที่บ่งบอกว่าอาจมีปัญหา ซึ่งต่างจากแอร์ระบบธรรมดาอยู่บ้างค่ะ เนื่องจากระบบอินเวอร์เตอร์มีความซับซ้อนกว่า มีแผงวงจรควบคุมการทำงานของคอมเพรสเซอร์ให้ปรับรอบการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

ข้อสังเกตเมื่อแอร์อินเวอร์เตอร์มีปัญหา

แอร์ไม่เย็นฉ่ำ หรือเย็นน้อยลงอย่างผิดปกติ:

คอมเพรสเซอร์ไม่ทำงานเต็มที่: แอร์อินเวอร์เตอร์จะปรับรอบคอมเพรสเซอร์ตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ แต่ถ้าแอร์ไม่เย็นเลย หรือเย็นแค่ลมออกแต่ไม่มีความเย็นฉ่ำ อาจเป็นไปได้ว่าคอมเพรสเซอร์ไม่ทำงาน หรือทำงานแต่รอบต่ำมากเกินไป ไม่สามารถทำความเย็นได้ตามที่ต้องการ

น้ำยาแอร์พร่อง/รั่ว: แม้ระบบอินเวอร์เตอร์จะทำงานได้ดี แต่ถ้าน้ำยาแอร์มีปัญหา ก็จะส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำความเย็นลดลงอย่างเห็นได้ชัด และอาจมีน้ำแข็งเกาะที่ท่อแอร์ หรือคอยล์เย็น

แผ่นกรอง/คอยล์สกปรกมาก: เป็นปัญหาพื้นฐานที่ทำให้แอร์ไม่เย็นได้ทั้งแอร์ธรรมดาและอินเวอร์เตอร์ แต่ในอินเวอร์เตอร์อาจจะเห็นผลชัดเจนขึ้นเรื่องประสิทธิภาพการทำความเย็นไม่ถึงที่

มีไฟกระพริบที่คอยล์เย็น หรือแสดงรหัสข้อผิดพลาด (Error Code):

แอร์อินเวอร์เตอร์ส่วนใหญ่จะมีระบบแจ้งเตือนความผิดปกติผ่านไฟ LED ที่กระพริบเป็นจังหวะ หรือแสดงรหัสตัวเลข/ตัวอักษรบนหน้าจอคอยล์เย็น หรือบนรีโมทคอนโทรล

ข้อสังเกต: ไฟอาจกระพริบมากกว่า 5 ครั้งต่อวินาที หรือกระพริบรัว ๆ ไม่หยุด ซึ่งบ่งชี้ถึงความผิดปกติในระบบ

การแก้ไขเบื้องต้น: ลองหารหัสข้อผิดพลาดจากคู่มือแอร์รุ่นนั้น ๆ เพื่อดูว่าเกิดจากสาเหตุใด (บางยี่ห้ออาจมีวิธีเช็ค Error Code ผ่านรีโมท)

มีเสียงดังผิดปกติจากคอยล์ร้อน (ชุดภายนอก):

แอร์อินเวอร์เตอร์ควรจะทำงานเงียบกว่าแอร์ธรรมดาเมื่อคอมเพรสเซอร์เดินรอบต่ำ แต่หากมีเสียงดังผิดปกติ เช่น เสียงหึ่งๆ คล้ายมอเตอร์ทำงานหนัก เสียงแก๊กๆ หรือเสียงสั่นสะเทือนรุนแรง อาจบ่งบอกถึงปัญหาที่คอมเพรสเซอร์ แผงวงจร หรือพัดลมคอยล์ร้อน

ข้อควรสังเกต: คอมเพรสเซอร์อินเวอร์เตอร์จะมีการปรับรอบการทำงานขึ้นลง ทำให้เสียงคอมเพรสเซอร์อาจมีระดับที่แตกต่างกันไปได้บ้าง แต่ถ้าเสียงดังแปลกไปจากเดิมมาก หรือดังต่อเนื่องไม่ลดลง ก็อาจผิดปกติ

คอมเพรสเซอร์ทำงานๆ หยุดๆ บ่อยกว่าปกติ:

จุดเด่นของอินเวอร์เตอร์คือคอมเพรสเซอร์จะทำงานต่อเนื่องเพื่อรักษาอุณหภูมิให้คงที่ หากคอมเพรสเซอร์กลับมาทำงานแล้วตัดบ่อยๆ เหมือนแอร์ธรรมดา หรือตัดการทำงานไปเลยแล้วไม่กลับมาทำงานใหม่ อาจบ่งชี้ถึงปัญหาแผงวงจรควบคุม หรือเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิเสีย

กินไฟมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด:

หากจู่ๆ ค่าไฟเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้งานแอร์หนักขึ้น แอร์อินเวอร์เตอร์อาจมีปัญหาด้านประสิทธิภาพการทำงาน ทำให้คอมเพรสเซอร์ต้องทำงานหนักตลอดเวลา ไม่สามารถปรับรอบการทำงานให้ประหยัดพลังงานได้

รีเซ็ตเครื่องแล้วไม่หาย หรือกลับมาเป็นซ้ำ:

บางครั้งปัญหาเล็กน้อยอาจแก้ไขได้ด้วยการปิดเบรกเกอร์แอร์ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วเปิดใหม่ (Hard Reset) แต่หากทำแล้วอาการไม่หาย หรือหายแล้วกลับมาเป็นซ้ำอีก ก็เป็นสัญญาณว่ามีปัญหาจริงจังภายใน

ความแตกต่างจากแอร์ธรรมดาเมื่อมีปัญหา

แผงวงจร: แอร์อินเวอร์เตอร์พึ่งพาแผงวงจรควบคุม (Inverter Board) มากกว่าแอร์ธรรมดา ดังนั้นปัญหาเกี่ยวกับแผงวงจรเสียจึงเป็นเรื่องที่พบบ่อยกว่า และมีค่าซ่อมสูงกว่าแอร์ธรรมดา

อาการ "เย็นเอื่อยๆ": แอร์อินเวอร์เตอร์อาจไม่เย็นฉ่ำแบบจี้ๆ เหมือนแอร์ธรรมดาที่เดินเต็มกำลัง แต่จะค่อยๆ ปรับความเย็นให้คงที่ ดังนั้นหากรู้สึกว่า "เย็นเอื่อยๆ" มาตั้งแต่แรก อาจไม่ใช่ปัญหา แต่หากเย็นน้อยลงกว่าเดิมมาก ก็อาจผิดปกติได้

วินิจฉัยยากกว่า: ด้วยความซับซ้อนของระบบ ทำให้การวินิจฉัยปัญหาของแอร์อินเวอร์เตอร์ต้องอาศัยช่างที่มีความรู้เฉพาะทาง และเครื่องมือที่เหมาะสม

หากคุณสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ในแอร์อินเวอร์เตอร์ของคุณ ควรหยุดใช้งานและติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบและแก้ไขปัญหา เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องในระยะยาวค่ะ

5
Doctor At Home: ครรภ์นอกมดลูก (Ectopic pregnancy)

การตั้งครรภ์นอกมดลูก เป็นภาวะที่ไข่ที่ถูกผสมเกาะตัวอยู่นอกโพรงมดลูก ที่พบบ่อยคือ ที่ท่อรังไข่ แล้วเกิดการแตกทำให้ตกเลือดในช่องท้อง

พบได้ประมาณ 1 ใน 200 ของหญิงตั้งครรภ์ พบมากในหญิงอายุ 35-44 ปี

สาเหตุ

เกิดจากไข่ที่ถูกผสมถูกขัดขวางไม่ให้เดินทางไปฝังตัวในโพรงมดลูก ซึ่งเกิดจากสาเหตุและปัจจัยได้หลายอย่าง อาทิ

    ท่อรังไข่ผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อ เช่น ปีกมดลูกอักเสบ การผ่าตัดท่อรังไข่ การทำหมันหญิง ท่อรังไข่ผิดปกติมาแต่กำเนิด   
    มดลูกมีความผิดปกติโดยกำเนิด หรือเป็นเนื้องอกมดลูก
    ท่อรังไข่เคลื่อนตัวช้า ทำให้ไข่ฝังตัวอยู่ที่ท่อรังไข่ ซึ่งอาจเกิดจากการสูบบุหรี่ การใช้ยาคุมกำเนิด การใส่ห่วงคุมกำเนิด
    เคยมีประวัติตั้งครรภ์นอกมดลูกมาก่อน
    มีประวัติมีบุตรยากนานเกิน 2 ปี หรือการแก้ไขภาวะมีบุตรยากด้วยการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น วิธีการทำกิฟต์ (GIFT),  การทำเด็กหลอดแก้ว (In vitro fertilization & embryo transfer/IVF-ET)

อาการ

ผู้ป่วยมักมีประวัติขาดประจำเดือน 1-2 เดือน หรือไม่ก็สังเกตว่าประจำเดือนมาผิดไปจากทุกครั้ง เช่น มากะปริดกะปรอยไม่มาก สีน้ำตาลคล้ำ แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีอาการปวดเสียดในท้องน้อยขึ้นทันทีทันใด ปวดรุนแรงเป็นชั่วโมง อาจร้าวไปที่หลัง ถ้านอนศีรษะต่ำอาจมีอาการปวดเสียวที่หัวไหล่

ต่อมาผู้ป่วยจะมีอาการเป็นลม เหงื่อออก ตัวเย็น

ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจมีเพียงอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง ร่วมกับประจำเดือนกะปริดกะปรอย

ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้ปีกมดลูกอักเสบ ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือเป็นหมัน

ที่สำคัญคือ เกิดการตกเลือดในช่องท้องจนช็อกถึงตายได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ

ซีด กระสับกระส่าย ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำ อาจกดเจ็บหรือคลำได้ก้อนที่บริเวณท้องน้อย

ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจตรวจไม่พบอาการชัดเจน ทำให้คิดว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ ปีกมดลูกอักเสบ ถุงน้ำรังไข่ (ovarian cyst) หรือแท้งบุตรได้

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจภายในช่องคลอด เจาะเลือดตรวจดูระดับฮอร์โมนเอชซีจี (human chorionic gonadotropin/HCG) อาจต้องตรวจอัลตราซาวนด์ หรือใช้กล้องส่องตรวจช่องท้อง (laparoscopy)

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์รับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้เลือดในรายที่เสียเลือดมากและทำการผ่าตัดด่วน

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น หญิงที่มีอาการขาดประจำเดือนหรือประจำเดือนผิดปกติ มีอาการปวดเสียดในท้องน้อยขึ้นทันทีทันใด ปวดท้องรุนแรงเป็นชั่วโมง หรือ มีอาการปวดท้องร่วมกับมีอาการหน้าตาซีดเซียว หน้ามืด เป็นลม เหงื่อออก ตัวเย็น ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นครรภ์นอกมดลูก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    หลังจากกลับมาพักฟื้นที่บ้าน มีไข้สูง หนาวสั่น  อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ซีด ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

การป้องกันค่อนข้างเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่อาจลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยง อาทิ

    ป้องกันไม่ให้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (โดยการใช้ถุงยางอนามัยในกรณีที่มีความเสี่ยง) เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นปีกมดลูกอักเสบ
    หากเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือปีกมดลูกอักเสบควรรักษาให้หายขาด
    งดสูบบุหรี่ก่อนที่จะมีการตั้งครรภ์

ข้อแนะนำ

1. ถ้าพบผู้หญิงที่มีอาการเป็นลมหรือปวดท้อง ควรถามประวัติเกี่ยวกับประจำเดือนทุกราย (แม้ว่าจะไม่ได้มีประวัติการแต่งงานอย่างเป็นทางการก็ตาม) ถ้ามีอาการประจำเดือนขาดหรือมีเลือดออกทางช่องคลอดกะปริดกะปรอย อาจมีสาเหตุจากการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้

2. การรักษาโรคนี้มีวิธีเดียว คือ การผ่าตัด หลังผ่าตัดผู้ป่วยสามารถตั้งครรภ์ที่ปกติได้ ถึงแม้อาจมีโอกาสในการตั้งครรภ์น้อยลงก็ตาม

6
หมอออนไลน์: อาหารไม่ย่อย (Dyspepsia)

อาหารไม่ย่อย หมายถึง อาการไม่สบายท้องตรงบริเวณยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ ที่เกิดขึ้นระหว่างหรือหลังกินอาหาร โดยมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมกัน เช่น จุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีลมในท้อง เรอบ่อย แสบท้อง เรอเปรี้ยว คลื่นไส้ หรืออาเจียนเล็กน้อย เป็นต้น อาการจะเป็นเฉพาะบริเวณระดับเหนือสะดือ จะไม่มีอาการปวดท้องในส่วนใต้สะดือ และไม่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการขับถ่ายร่วมด้วย  อาการนี้พบได้เกือบทุกคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บางรายเป็นครั้งคราว บางรายอาจเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง อาจมีสาเหตุได้หลากหลาย ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงโรคที่รุนแรงหรือร้ายแรง และความผิดปกติ (พยาธิสภาพ) อาจอยู่ทั้งในและนอกกระเพาะลำไส้

สาเหตุ

เนื่องจากอาการ "อาหารไม่ย่อย" เป็นอาการแสดงของโรค มิได้หมายถึงโรคจำเพาะชนิดใดชนิดหนึ่ง จึงอาจมีสาเหตุได้ต่าง ๆ ได้แก่

1. สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด (ประมาณร้อยละ 30-50 ของผู้ป่วยที่มีอาการอาหารไม่ย่อย) ก็คือ อาหารไม่ย่อยชนิดไม่มีแผล (non-ulcer dyspepsia) ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากมีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมาก หรืออาจสัมพันธ์กับฮอร์โมน ความเครียดทางจิตใจ หรืออาหาร (เช่น อาหารมัน อาหารรสจัด อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารย่อยยาก) หรืออาจเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ เป็นต้น

2. โรคแผลเพ็ปติก กระเพาะอาหารอักเสบ

3. โรคกรดไหลย้อน

4. เกิดจากยา (เช่น แอสไพริน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ สเตียรอยด์ ยาเม็ดโพแทสเซียมคลอไรด์ เตตราไซคลีน อีริโทรไมซิน เฟอร์รัสซัลเฟต ทีโอฟิลลีน เป็นต้น) รวมทั้งแอลกอฮอล์ (เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์) ชา กาแฟ และเครื่องดื่มกาเฟอีน

5. โรคของตับ ถุงน้ำดี และตับอ่อน เช่น ตับอักเสบ ตับแข็ง นิ่วน้ำดี ถุงน้ำดีอักเสบ ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง

6. มะเร็ง เช่น มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งตับ เป็นต้น ซึ่งมักพบในคนอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป

7. กระเพาะอาหารขับเคลื่อนตัวช้า ทำให้มีอาหารตกค้างในกระเพาะอาหารอยู่นาน เช่น ผู้ป่วยเบาหวานที่ระบบประสาทอัตโนมัติเสื่อม มีแผลหรือเนื้องอกในกระเพาะอาหาร เป็นต้น

8. อื่น ๆ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคกังวลทั่วไป โรคซึมเศร้า โรคลำไส้แปรปรวน เป็นต้น

อาการ

มีอาการปวดหรือไม่สบายท้อง ตรงบริเวณยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ ลักษณะจุกเสียด ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีลมในท้อง เรอบ่อย แสบท้อง เรอเปรี้ยว คลื่นไส้หรืออาเจียนเล็กน้อย อาการอาจมีเพียงอย่างเดียวหรือหลายอย่างร่วมกัน โดยเกิดขึ้นระหว่างกินข้าวหรือหลังกินข้าว

บางรายอาจมีประวัติกินยา ดื่มแอลกอฮอล์  ดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มกาเฟอีน หรือมีความเครียด วิตกกังวล นอนไม่หลับ

ในรายที่เป็นโรคกรดไหลย้อน จะมีอาการเรอเปรี้ยว หรือแสบลิ้นปี่ขึ้นมาถึงลำคอ เป็นมากเวลานอนราบ หรือก้มตัว

ในผู้ป่วยแผลเพ็ปติก มักมีอาการแสบท้องเวลาหิวหรือหิวก่อนเวลา หรือปวดท้องตอนดึก และทุเลาเมื่อกินยาลดกรด ดื่มนม หรือกินอาหาร มักมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย

ในรายที่เป็นโรคตับ ถุงน้ำดี ตับอ่อน มะเร็งในช่องท้อง ในระยะแรกมีอาการแบบอาหารไม่ย่อย หรือแผลเพ็ปติก แต่ระยะต่อมามักมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ดีซ่าน หรือถ่ายดำ

ในรายที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด จะมีอาการจุกแน่นยอดอก และปวดร้าวขึ้นไปที่คอ ขากรรไกร หัวไหล่ พบในคนอายุ 40-50 ปีขึ้นไป อาจมีประวัติสูบบุหรี่ เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือภาวะไขมันในเลือดสูง

ภาวะแทรกซ้อน

มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นตามโรคที่เป็นสาเหตุ

การวินิจฉัย

แพทย์จะทำการซักถามอาการและประวัติการเจ็บป่วย และตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อค้นหาสาเหตุ

ในกรณีที่จำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุที่ชัดเจน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอกซเรย์ กระเพาะลำไส้โดยการกลืนแป้งแบเรียม (barium meal/upper GI study) ใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะลำไส้ (endoscopy) เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

ในรายที่ตรวจไม่พบสาเหตุชัดเจน แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้ามีลมในท้องหรือเรอ ให้ยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือยาต้านกรดที่มีไซเมทิโคนผสม ถ้าไม่ได้ผล หรือคลื่นไส้ อาเจียน ให้ยาแก้อาเจียน (เช่น ดอมเพอริโดน) ก่อนอาหาร 3 มื้อ

ถ้ามีความเครียด วิตกกังวล หรือนอนไม่หลับให้ยากล่อมประสาท

ถ้าดีขึ้น ให้กินยาประมาณ 2-4 สัปดาห์ แต่ถ้าไม่ดี จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุ

2. ถ้ามีอาการแสบท้องเวลาหิวหรือตอนดึก หรือจุกเสียดแน่นท้องหลังอาหาร เรอเปรี้ยว หรือมีประวัติกินยาแอสไพริน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือดื่มแอลกอฮอล์ แพทย์จะให้ยาลดการสร้างกรดกลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊มป์ (เช่น โอเมพราโซล, แพนโทพราโซล, แลนโซพราโซล, ราบีพราโซล เป็นต้น) ถ้ารู้สึกทุเลาหลังกินยาได้ 2-3 ครั้ง ให้กินต่อจนครบ 2 สัปดาห์ และถ้ารู้สึกหายดีก็ให้กินยาต่อนานประมาณ 8 สัปดาห์ เพื่อครอบคลุมโรคแผลเพ็ปติกที่อาจเป็นสาเหตุของอาหารไม่ย่อยได้

3. แพทย์จะพิจารณาทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม (เช่น การใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะลำไส้ การตรวจอัลตราซาวนด์ หรือ คลื่นหัวใจ) ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

    กินยาลดการสร้างกรด 2-3 ครั้งแล้วยังไม่รู้สึกทุเลาแม้แต่น้อย หรือทุเลาแล้วแต่กินยาจนครบ 2 สัปดาห์แล้วรู้สึกไม่หายดี หรือมีอาการกำเริบซ้ำหลังจากหยุดกินยาจนครบ 8 สัปดาห์แล้ว
    มีอาการเบื่ออาหาร กลืนลำบาก น้ำหนักลด ซีด ตาเหลือง ตับโต ม้ามโต คลำได้ก้อนในท้อง อาเจียนรุนแรง อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำ
    พบในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
    สงสัยเป็นโรคหัวใจขาดเลือด หรือนิ่วน้ำดี

แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

การดูแลตนเอง

ถ้ามีอาการจุกเสียด ท้องอืดท้องเฟ้อ ลมในท้องหรือเรอ ให้กินน้ำขิง ขมิ้นชัน หรือยาธาตุน้ำแดง*

ถ้ามีอาการปวดแสบใต้ลิ้นปี่เวลาหิวหรือก่อนมื้ออาหาร หรือจุกแน่นใต้ลิ้นปี่หลังกินอาหาร ให้กินยาน้ำลดกรด (ยาต้านกรด หรือ antacid)*

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    กินยา 2-3 ครั้งแล้วไม่ทุเลา
    มีอาการต่อเนื่องนานเกิน 2-3 ชั่วโมง หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย
    มีประวัติกินยาแก้ปวด ยาแก้ปวดข้อ หรือยาชุด หรือดื่มสุรา เป็นประจำ
    มีประวัติเป็นโรคแผลเพ็ปติก โรคกรดไหลย้อน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูงมาก่อน
    มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจหวิวใจสั่น หน้ามืด ปวดท้องรุนแรง เบื่ออาหาร กลืนลำบาก น้ำหนักลด ซีด ตาเหลือง อาเจียนรุนแรง อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ หรือคลำได้ก้อนในท้อง
    พบในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
    พบในคนอ้วน หรือสูบบุหรี่
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ

การป้องกัน

สำหรับกลุ่มที่มีสาเหตุชัดเจน เช่น โรคแผลเพ็ปติก โรคกรดไหลย้อน ก็หาทางป้องกันตามวิธีป้องกันของโรคที่เป็นสาเหตุ

สำหรับกลุ่มที่แพทย์ตรวจแล้วไม่พบสาเหตุชัดเจน หากมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย ควรปฏิบัติตัวดังนี้

    งดบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มกาเฟอีน ช็อกโกแลต น้ำอัดลม และหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาสเตียรอยด์ เป็นต้น
    กินอาหารให้ตรงเวลาทุกมื้อ อย่ากินอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด อาหารมัน ของดอง หรืออาหารสุก ๆ ดิบ ๆ หรือย่อยยาก ควรกินอาหารเย็นก่อนเวลาเข้านอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมงขึ้นไป
    ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด อย่ารีบเร่ง อย่ากินจนอิ่มมากเกินไป
    หลังกินอาหารอิ่มอย่าล้มตัวลงนอน หรืออยู่ในท่าก้มงอตัว และอย่ารัดเข็มขัดแน่น
    ถ้าน้ำหนักมากควรลดน้ำหนัก
    ถ้าเครียดควรออกกำลังกายเป็นประจำ หรือหาวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น สวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิ ภาวนา ตามหลักศาสนาที่นับถือ หรือดูภาพยนตร์ ฟังเพลง เล่นดนตรี ปลูกต้นไม้ ทำงานอดิเรกหาความบันเทิงใจ

ข้อแนะนำ

1. ก่อนจะวินิจฉัยอาการจุกแน่นตรงลิ้นปี่ว่า เป็นเพียงอาหารไม่ย่อยที่ไม่มีสาเหตุชัดเจน ควรมีการซักถามอาการและตรวจดูอาการอย่างละเอียด เพราะมีโรคหลายอย่างที่อาจมีอาการคล้ายอาหารไม่ย่อย เช่น โรคแผลเพ็ปติก โรคกรดไหลย้อน นิ่วน้ำดี โรคหัวใจขาดเลือด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ หรือมะเร็งในช่องท้องอื่น ๆ

2. มะเร็งกระเพาะอาหารระยะแรก (ซึ่งพบในคนอายุมากกว่า 40 ปีมากกว่าวัยที่ต่ำกว่า 40 ปี) อาจมีอาการคล้ายอาหารไม่ย่อย (dyspepsia หรือ "โรคกระเพาะ") และอาการสามารถทุเลาด้วยยาต้านกรดและยาลดการสร้างกรด แต่ต่อมาเมื่อแผลมะเร็งลุกลามมากขึ้น การใช้ยาจะไม่ได้ผล และจะมีอาการน้ำหนักลด อาเจียน หรือถ่ายดำตามมาได้ ดังนั้น หากรักษา "โรคกระเพาะ" โดยวินิจฉัยจากอาการแสดง 2 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น มีอาการกำเริบบ่อย หรือพบในคนอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ควรปรึกษาแพทย์ให้ทำการตรวจพิเศษ (เช่น ส่องกล้องหรือเอกซเรย์กระเพาะลำไส้) เพื่อแยกแยะสาเหตุให้แน่ชัด หากพบว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารจะได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ ซึ่งได้ผลดีกว่าพบในระยะลุกลามแล้ว

7
งานฝีมือ การทำเทียนหอม ช่วยผ่อนคลาย

การทำเทียนหอมเป็นกิจกรรมที่สนุกและผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อค่ะ ไม่เพียงแต่คุณจะได้เทียนหอมไว้ใช้เองหรือเป็นของขวัญที่ทำจากใจ แต่กระบวนการทำเทียนหอมเองก็เป็นเหมือนการบำบัดอย่างหนึ่งที่ช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลายได้ดีเลยทีเดียว

ทำไมการทำเทียนหอมถึงช่วยผ่อนคลาย?

การมีสมาธิจดจ่อ: การทำเทียนหอมต้องใช้ความใส่ใจในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการตวงส่วนผสม การละลายไข การหยดน้ำหอม หรือการจัดวางไส้เทียน การจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าจะช่วยดึงความสนใจของคุณออกจากความกังวลหรือความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ ทำให้จิตใจสงบลงได้

การใช้ประสาทสัมผัส: การได้สัมผัสกับไขเทียนที่หลอมละลาย กลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยที่ค่อยๆ ผสมผสานกัน และสีสันที่เลือกใช้ ล้วนกระตุ้นประสาทสัมผัสต่างๆ ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและเพลิดเพลิน

การควบคุมและสร้างสรรค์: การได้เลือกกลิ่น สี และภาชนะด้วยตัวเอง ทำให้คุณรู้สึกถึงการควบคุมและเป็นเจ้าของผลงาน การสร้างสรรค์สิ่งสวยงามด้วยสองมือตัวเองเป็นความรู้สึกที่น่าพึงพอใจและช่วยลดความเครียดได้

ความรู้สึกถึงความสำเร็จ: เมื่อเทียนหอมแข็งตัวและพร้อมใช้งาน การได้เห็นผลงานที่สมบูรณ์แบบด้วยน้ำมือของคุณเองเป็นความรู้สึกที่ดีเยี่ยม ทำให้เกิดความภาคภูมิใจและผ่อนคลาย

ประโยชน์ของกลิ่นหอม: แน่นอนว่าเมื่อเทียนหอมจุดติด กลิ่นหอมที่อบอวลออกมาก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยในการผ่อนคลายโดยตรง โดยเฉพาะกลิ่นจากน้ำมันหอมระเหยแท้ๆ ที่มีคุณสมบัติในการบำบัด (Aromatherapy)

เริ่มต้นทำเทียนหอมง่ายๆ ด้วยตัวเอง
คุณสามารถทำเทียนหอมได้ง่ายๆ ที่บ้านด้วยอุปกรณ์ไม่กี่อย่าง:

อุปกรณ์หลัก:

ไขเทียน:

ไขถั่วเหลือง (Soy Wax): เป็นที่นิยมมากที่สุดเพราะเป็นธรรมชาติ เผาไหม้สะอาด และยึดเกาะกลิ่นได้ดี

ไขพาราฟิน (Paraffin Wax): หาซื้อง่าย ราคาถูก เผาไหม้ดี แต่เป็นผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม

ไขปาล์ม (Palm Wax): เป็นธรรมชาติ เผาไหม้ช้า ให้ความเงางาม

ไขผึ้ง (Beeswax): เป็นธรรมชาติ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ในตัว เผาไหม้นาน

ไส้เทียน: เลือกขนาดให้เหมาะสมกับเส้นผ่านศูนย์กลางของภาชนะ เพื่อให้การเผาไหม้สมบูรณ์

ภาชนะ: แก้วเซรามิก แก้วใส ถ้วยโลหะ หรือภาชนะทนความร้อนอื่นๆ ที่คุณชอบ (ตรวจสอบให้แน่ใจว่าภาชนะทนความร้อนและไม่แตกง่าย)

น้ำหอม/น้ำมันหอมระเหย (Fragrance Oil / Essential Oil): เลือกกลิ่นที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น ลาเวนเดอร์, คาโมมายล์, ส้ม, ไม้จันทน์, มะลิ

หม้อตุ๋น/หม้อสองชั้น (Double Boiler): สำหรับละลายไขเทียน เพื่อหลีกเลี่ยงการไหม้โดยตรง

เทอร์โมมิเตอร์สำหรับวัดอุณหภูมิ: (ถ้ามีจะช่วยให้ได้คุณภาพดีขึ้น) สำหรับวัดอุณหภูมิของไขเทียน

ที่หนีบไส้เทียน/ไม้หนีบ/ดินสอ: สำหรับยึดไส้เทียนให้อยู่ตรงกลาง

ขั้นตอนการทำ (แบบง่ายๆ):

เตรียมไส้เทียน: ติดฐานไส้เทียนลงไปที่ก้นภาชนะด้วยกาว หรือกาวสองหน้าชนิดพิเศษ จากนั้นใช้ที่หนีบไส้เทียนหรือดินสอพาดปากภาชนะเพื่อยึดไส้เทียนให้อยู่ตรงกลางและตั้งตรง

ละลายไขเทียน: ตวงไขเทียนตามปริมาณที่ต้องการ (ประมาณ 1.5 เท่าของปริมาตรภาชนะเมื่อเป็นไขแข็ง) นำไปละลายในหม้อตุ๋นด้วยไฟอ่อนๆ ค่อยๆ คนจนไขละลายหมด

เติมน้ำหอม/สี (ถ้าต้องการ): เมื่อไขละลายหมดแล้ว ปล่อยให้อุณหภูมิของไขลดลงเล็กน้อย (ประมาณ 75-85 องศาเซลเซียส ขึ้นอยู่กับชนิดของไข) จากนั้นหยดน้ำหอมหรือน้ำมันหอมระเหยตามอัตราส่วนที่แนะนำ (ปกติ 6-10% ของน้ำหนักไข) คนให้เข้ากัน หากต้องการสี ให้เติมสีสำหรับทำเทียนแล้วคนให้ละลาย

เทไขเทียน: ค่อยๆ เทไขเทียนที่ผสมแล้วลงในภาชนะที่เตรียมไว้ ระวังอย่าให้ไส้เทียนขยับ

รอให้แข็งตัว: ปล่อยให้เทียนแข็งตัวที่อุณหภูมิห้อง ใช้เวลาประมาณ 2-4 ชั่วโมง หรือข้ามคืน

ตัดไส้เทียน: เมื่อเทียนแข็งตัวดีแล้ว ตัดไส้เทียนให้มีความยาวประมาณ 0.5 - 1 เซนติเมตร เหนือผิวน้ำเทียน

เพียงเท่านี้คุณก็จะได้เทียนหอมฝีมือตัวเองที่พร้อมจุดเพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลายแล้วค่ะ การทำเทียนหอมไม่เพียงแต่เป็นงานอดิเรกที่เพลิดเพลิน แต่ยังเป็นวิธีที่ดีในการบำบัดจิตใจและสร้างความสุขให้กับตัวเองและคนที่คุณรักด้วยค่ะ

8
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


9
ข้อมูลโรคกรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)

กรวยไตอักเสบ คือการติดเชื้อแบคทีเรียที่เกิดขึ้นในไตและกรวยไต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบทางเดินปัสสาวะ โดยทั่วไปแล้ว การติดเชื้อนี้มักจะเริ่มต้นจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ) แล้วลุกลามขึ้นไปตามท่อไตจนถึงไต ทำให้เกิดการอักเสบและเป็นอันตรายต่อเนื้อไตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

สาเหตุของกรวยไตอักเสบ
สาเหตุหลักของกรวยไตอักเสบคือการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อ E. coli (Escherichia coli) ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบได้ทั่วไปในลำไส้ใหญ่ การติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้จาก:

การลุกลามจากทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด โดยเชื้อแบคทีเรียจากทวารหนักเข้าสู่ท่อปัสสาวะ แล้วเคลื่อนที่ขึ้นไปที่กระเพาะปัสสาวะ (ทำให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ) จากนั้นเชื้ออาจเดินทางย้อนขึ้นไปตามท่อไตจนถึงไต

การอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ: สิ่งที่ขัดขวางการไหลของปัสสาวะ เช่น นิ่วในไตหรือท่อไต ต่อมลูกหมากโตในเพศชาย หรือความผิดปกติทางโครงสร้างของระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะคั่งค้างและเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย

ภาวะปัสสาวะไหลย้อนกลับ (Vesicoureteral Reflux - VUR): เป็นภาวะที่ปัสสาวะไหลย้อนกลับจากกระเพาะปัสสาวะไปยังท่อไตและไต ซึ่งพบบ่อยในเด็ก ทำให้เชื้อแบคทีเรียสามารถเข้าสู่ไตได้ง่ายขึ้น

ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ: ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยเอดส์ หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน มีความเสี่ยงสูงขึ้น

การใส่สายสวนปัสสาวะ: เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ

การตั้งครรภ์: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการกดทับท่อไตโดยมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้น อาจทำให้ปัสสาวะไหลช้าลงและเพิ่มความเสี่ยง

อาการของกรวยไตอักเสบ
อาการของกรวยไตอักเสบมักจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและมีความรุนแรงมากกว่ากระเพาะปัสสาวะอักเสบ อาการที่พบบ่อยได้แก่:

ไข้สูง หนาวสั่น: เป็นอาการที่เด่นชัด มักมีไข้สูงถึง 38.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป และมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย

ปวดหลัง หรือปวดบั้นเอว: มักปวดบริเวณสีข้าง หรือหลังส่วนล่าง ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง โดยมีอาการกดเจ็บที่บั้นเอว (Costovertebral angle tenderness)

อาการของทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง:

ปัสสาวะแสบขัด

ปัสสาวะบ่อย

ปวดเบ่งเวลาปัสสาวะ

ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น หรือขุ่น

อาการทั่วไป:

คลื่นไส้ อาเจียน

เบื่ออาหาร

อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว

ในเด็กเล็ก อาจมีอาการไม่จำเพาะ เช่น ไข้สูง อาเจียน ซึม หรือไม่ยอมดูดนม

การวินิจฉัย
การวินิจฉัยกรวยไตอักเสบทำได้โดย:

การซักประวัติและตรวจร่างกาย: แพทย์จะสอบถามอาการและตรวจร่างกาย โดยเฉพาะการกดเจ็บบริเวณบั้นเอว

การตรวจปัสสาวะ (Urinalysis): พบเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และแบคทีเรียในปัสสาวะ

การเพาะเชื้อปัสสาวะ (Urine Culture): เพื่อระบุชนิดของเชื้อแบคทีเรียและทดสอบความไวของยาปฏิชีวนะ (Antibiotic Susceptibility Test)

การตรวจเลือด: อาจพบเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น และค่าการทำงานของไตอาจผิดปกติในบางราย

การตรวจภาพทางรังสี (Imaging Studies): เช่น อัลตราซาวด์ (Ultrasound) หรือ CT scan อาจทำในกรณีที่สงสัยภาวะแทรกซ้อน เช่น การอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ หรือการติดเชื้อรุนแรง

การรักษา
การรักษากรวยไตอักเสบมักจะใช้ยาปฏิชีวนะเป็นหลัก โดยอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและชนิดของเชื้อ:

ยาปฏิชีวนะ:

ชนิดฉีด: ในกรณีที่มีอาการรุนแรง มีไข้สูงมาก คลื่นไส้อาเจียนมากจนรับประทานยาไม่ได้ หรือผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำในโรงพยาบาล

ชนิดรับประทาน: เมื่ออาการดีขึ้น หรือในกรณีที่อาการไม่รุนแรง สามารถให้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานต่อจนครบตามที่แพทย์กำหนด (โดยทั่วไปประมาณ 7-14 วัน)


การรักษาตามอาการ:

ยาลดไข้แก้ปวด เช่น พาราเซตามอล

ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน

การดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยขับเชื้อโรคออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ

การแก้ไขสาเหตุ: หากมีสาเหตุที่ทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ เช่น นิ่ว แพทย์อาจพิจารณาการรักษาเพิ่มเติม เช่น การผ่าตัดเพื่อนำนิ่วออก


ภาวะแทรกซ้อน

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีหรือไม่ครบถ้วน กรวยไตอักเสบอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้:

การติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis): เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือดและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต

ไตเป็นหนอง (Renal Abscess): เกิดหนองในเนื้อไต

ไตวายเฉียบพลัน: การติดเชื้อที่รุนแรงอาจทำให้การทำงานของไตลดลงอย่างรวดเร็ว

ไตวายเรื้อรัง: การติดเชื้อซ้ำๆ หรือการอักเสบเรื้อรังอาจนำไปสู่ความเสียหายของไตอย่างถาวร


การป้องกัน

ดื่มน้ำให้เพียงพอ: เพื่อช่วยขับแบคทีเรียออกจากทางเดินปัสสาวะ

ไม่กลั้นปัสสาวะ: ควรปัสสาวะทันทีเมื่อรู้สึกปวด

สุขอนามัยที่ดี: โดยเฉพาะในเพศหญิง ควรเช็ดทำความสะอาดจากหน้าไปหลังหลังการขับถ่าย เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียจากทวารหนักเข้าสู่ท่อปัสสาวะ

รักษาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะส่วนล่างให้หายขาด: หากมีอาการของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรรีบพบแพทย์และรับประทานยาปฏิชีวนะให้ครบถ้วน

แก้ไขภาวะที่ทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ: เช่น การรักษานิ่วในไต

หากมีอาการที่สงสัยว่าเป็นกรวยไตอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ

10
จัดฟันเด็ก สามารถแก้ไขปัญหาฟันในเรื่องใดได้บ้าง

เด็กหลายคนมักจะต้องเคยเข้ารับการถอนฟันน้ำนมตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งหลายคนอาจจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับการรักษาฟันที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะด้วยความเจ็บปวดที่จะต้องเจอในระหว่างการรักษา จึงทำให้เด็กๆอาจจะกลัวการเข้าพบทันตแพทย์ ทำให้ไม่อยากที่เข้ารับการตรวจฟัน และเมื่อปล่อยไว้เป็นเวลานาน ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมามากมาย จนอาจจะรุนแรงถึงขั้นเกิดการสูญเสียฟันไปเลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากปัญหาฟันเกิดมีความร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียฟันแล้ว ก็อาจจะเกิดปัญหาและผลกระทบต่อฟันบริเวณข้างเคียงได้ และส่งผลต่อฟันซี่อื่นๆ อาจจะทำให้เกิดอาการฟันล้ม ฟันห่าง ฟันซ้อนเกได้

ดังนั้น การดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด นอกจากจะเป็นการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ยังสามารถทำให้เรามีบุคลิกภาพที่ดี มีรอยยิ้มที่สดใสได้ การจัดฟันในเด็ก ไม่แม้แต่เป็นการช่วยส่งเสริมในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน แต่ยังช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้าของเด็กให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ช่วยแก่ไขปัญหาในเรื่องของกระดูกขากรรไกรได้ด้วย เรียกว่า ได้ผลการรักษาที่มากกว่าการจัดฟันแน่นอน พ่อแม่ผู้ปกครอง หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า การจัดฟันในเด็กนั้นมีประโยชน์ต่อบุตรหลานของท่านอย่างไรบ้าง ซึ่งวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเรื่องของการจัดฟันในเด็ก ว่าสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเรื่องใดได้บ้าง เพื่อที่จะได้ช่วยตัดสินใจในการพาบุตรหลานของท่านเข้ามารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก เพื่อแก้ไขปัญหาฟันในระยะยาวได้

ต้องอธิบายก่อนว่า ปัญหาของฟันในวัยเด็กนั้น ที่มักจะพบได้บ่อยก็คือ ปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติ ซึ่งการจัดฟันในเด็กสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ปัญหาการสบฟันที่ผิดปกตินั้น คือลักษณะฟันที่มีความเบี่ยงเบนไปจากปกติเท่านั้น ซึ่งอาจจะผิดปกติมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ดังนั้น การมีการสบฟันผิดปกติจึงไม่มีความจำเป็นต้องรักษาทุกกรณี ซึ่งผลของการสบฟันผิดปกติสามารถส่งผลต่อสุขภาพช่องปาก อาจจะทำให้เกิด โรคฟันผุ โรคเหงือกอักเสบ โรคปริทันต์ หรือส่งผลต่อสุขภาพทั่วไป เช่น ผลต่อระบบการบดเคี้ยวอาหาร ผลต่อข้อต่อขากรรไกร

นอกจากนี้ การสบฟันผิดปกติยังมีผลต่อสภาวะจิตใจทำให้ขาดความเชื่อมั่นในการเข้าสังคมได้ แต่ในวัยเด็กนั้น การสบฟันที่ผิดปกติ อาจจะก่อให้เกิดฟันผุได้ง่าย เพราะจะสามารถทำความสะอาดได้ยากและอาจจะส่งผลต่อการบดเคี้ยวอาหาร ในด้วยฟันของเด็กนั้น สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ตั้งแต่อายุ 7-15 ปี และสามารถรักษาได้อย่างเต็มที่และได้ผลดีกว่าการจัดฟันตอนโต ดังนั้น ในเรื่องของการสบฟันที่ผิดปกติในเด็ก ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันในเด็ก

ต่อมาในเรื่องของฟันห่าง ฟันซ้อนเก ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟัน เพราะเครื่องมือการจัดฟันนั้น จะช่วยทำให้ฟันเคลื่อนตัวไปยังตำแหน่งที่เหมาะสมและที่ทันตแพทย์ได้วางแผนการรักษาเอาไว้ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในเรื่องของฟันซ้อนเก ฟันห่าง การเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ก็จะสามารถแก้ไขได้ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยไม่ต้องรอให้เข้าสู่ช่วงของวัยรุ่น แต่ในวัยเด็กนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจช่องปากและฟันกับทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อที่จะได้ตรวจช่องปากและฟันอย่างละเอียด

ถ้าหากมีสัญญาณของปัญหาฟัน ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก สามารถพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจฟันกับทันตแพทย์ที่คลินิกได้ทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาและแนะนำวิธีการรักษาอย่างถูกต้องเพื่อที่จะให้บุตรหลานของท่านมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี และยังสามารถช่วยแนะนำวิธีการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันได้ เพื่อที่จะได้ตระหนักถึงเรื่องของการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี

หน้า: [1] 2 3 ... 147
โพสต์ฟรี ลงประกาศฟรี ลงโฆษณาฟรี google ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ประกาศฟรี ขายฟรี ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google